4th Floor, National Health Building 88/39 Tiwanon 14 Road Taradkwan, Muang District Nonthaburi 11000
Font Size
-
+
color contrast
C
C
C
Search
เมนู

เวทีประชุมวิชาการระดับชาติด้านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ประจำปี 2568 ประกาศ 13 ข้อตกลงขับเคลื่อน “หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าไทย” สู่ความยั่นยืน

          เวทีประชุมวิชาการระดับชาติด้านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ประจำปี 2568 ร่วมประกาศเจตนารมณ์ขับเคลื่อน 13 ข้อตกลง ประสานภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง สู่การสร้าง “หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของประเทศไทยให้ยั่งยืน” พร้อมผลักดันสร้าง “ทศวรรษแห่งการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบสุขภาพ พ.ศ. 2569–2578”
         
          นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ในฐานะประธานอนุกรรมการวิชาการประชุมวิชาการระดับชาติด้านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ประจำปี พ.ศ. 2568 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 11 - 13 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา ณ โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ (รางน้ำ) กล่าวว่า การจัดประชุมวิชาการระดับชาติด้านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าฯ ในปีนี้ มีเป้าหมายสำคัญเพื่อระดมความคิดและกำหนดทิศทางการเงินการคลังด้านสุขภาพ (health financing) ของประเทศไทย ภายใต้แนวคิดหลัก “SAFE Financing” ซึ่งเป็นวาระสำคัญในการกำหนดทิศทางด้านการเงินการคลังในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้มีความมั่นคง การเงินการคลังเพื่อระบบสุขภาพไทย

          ตลอด 3 วันที่ผ่านมา ผู้เข้าร่วมการประชุม ทั้งผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ และนักวิจัยในระบบสุขภาพ ตลอดจนทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ต่างร่วมระดมความคิดเห็นและสะท้อนมุมมองที่นำไปสู่การพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของประเทศไทย พร้อมแสดงเจตนารมณ์ในการขับเคลื่อนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่มีระบบการเงินการคลังสุขภาพที่ยั่งยืน เพียงพอ เป็นธรรม และมีประสิทธิภาพ รวมถึงการขับเคลื่อน “12 ธันวาคม วันหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าสากล” หรือ International Universal Health Coverage (UHC) Day ที่สมัชชาสหประชาชาติได้ให้การรับรอง

          อย่างไรก็ดี ด้วยหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของประเทศไทยกำลังเผชิญสถานการณ์ค่าใช้จ่ายที่เติบโตเร็วกว่าเศรษฐกิจ ทั้งการเพิ่มขึ้นของการใช้บริการ ภาระโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง สังคมสูงวัย การใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์เกินความจำเป็น เป็นต้น ภายใต้กรอบวินัยการคลังที่เข้มงวด ทั้งการจำกัดการขาดดุลงบประมาณและเพดานหนี้สาธารณะ รวมถึงการเพิ่มขึ้นของงบประมาณรายจ่ายที่มีอย่างจำกัดที่ส่งผลกระทบต่อกองทุนสุขภาพภาครัฐ 
           
          ด้วยสถานการณ์ที่ปรากฏนี้ เพื่อความยั่งยืนของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าจำเป็นต้องอาศัยกลไกการเงินการคลังที่มั่นคง โปร่งใส และมีธรรมาภิบาล ควบคู่กับการลงทุนในระบบบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิ การสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค การจัดการปัจจัยกำหนดสุขภาพด้านสังคมและการค้า รวมถึงการป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรังตั้งแต่ระยะต้น และการขับเคลื่อนบริการสุขภาพโดยชุมชนเป็นฐาน เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และเสริมความเข้มแข็งให้ระบบสุขภาพสามารถรับมือกับความท้าทายในอนาคตได้อย่างยั่งยืน
           
          นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า นอกจากนี้ภายใต้แนวคิดหลัก “SAFE Financing” ที่ประชุมฯ ได้ข้อสรุปร่วมกัน โดยเน้นความร่วมมือ ทั้งกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)  กรมบัญชีกลาง สำนักงานประกันสังคม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดผลการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม ดังนี้
 
S – Sustainability: ส่งเสริมความยั่งยืนทางการคลังของระบบสุขภาพไทยในระยะยาว อาทิ 
1. การปรับชุดสิทธิประโยชน์สอดคล้องกันของ 3 กองทุนสุขภาพภาครัฐ พร้อมเสริมบทบาทการจัดซื้อเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ และปรับเปลี่ยนวิธีการจ่ายค่าตอบแทนจากแบบจ่ายตามบริการ (Fee-for-Service) ซึ่งก่อให้เกิดการใช้บริการที่ไม่จำเป็น ไปสู่ระบบการจ่ายแบบปิด
2. สนับสนุนเพิ่มภาษีสรรพสามิตยาสูบ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลเพื่อลดการบริโภคและเพิ่มรายได้รัฐ พร้อมจัดเก็บภาษีโซเดียมเพื่อลดความเสี่ยงโรคไตเรื้อรัง 
3. ขยายบริการการดูแลประคับประคองสำหรับผู้ป่วยระยะท้าย ให้การเคารพและปฏิบัติตามหนังสือแสดงเจตนาล่วงหน้า หรือพินัยกรรมชีวิต ตามมาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ตลอดจนการเข้าถึงยาแก้ปวดในกลุ่มโอปิออยด์ และส่งเสริมการตายอย่างมีศักดิ์ศรี 
4. งดการจัดเก็บหรือเพิ่มเงินร่วมจ่าย (Copayments) หรือโน้มน้าวการรับบริการที่ไม่จำเป็นโดยผู้ให้บริการ โดยเฉพาะในระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ

A – Adequacy: การเงินการคลังด้านสุขภาพมีความเพียงพอและเหมาะสมในการตอบสนองความต้องการด้านสุขภาพของประชากร
อาทิ 
5. ให้ปรับอัตราชดเชยค่าบริการให้สอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริงทั้ง 3 กองทุนสุขภาพ  โดยไม่รวมบริการที่มีคุณค่าต่ำ เสริมการดูแล intermediate care การฟื้นฟูสมรรถภาพและการดูแลโรคเรื้อรัง และเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการของโรงพยาบาล
6. สนับสนุนการพัฒนากฎระเบียบเพื่อควบคุมการเรียกเก็บเงินส่วนเพิ่ม (Extra billing) จัดสรรงบประมาณอย่างเหมาะสมในบริการที่ให้ผลลัพธ์ด้านสุขภาพชัดเจน เพิ่มความถูกต้องและตรวจสอบการลงรหัสโรคผู้ป่วยใน และควบคุมการเรียกเก็บเงินส่วนเพิ่มเติม 
7. สนับสนุน 3 กองทุนสุขภาพภาครัฐ พัฒนาระบบการเงินการคลังควบคู่กับการพัฒนาการเข้าถึงบริการดูแลระยะยาวและประคับประคองที่มีคุณภาพ รวมถึงการป้องกันภาวะถดถอยในผู้สูงอายุ

F – Fairness: ส่งเสริมความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสุขภาพ อาทิ 
8. ขอให้ สธ. และ อปท. พัฒนาบริการปฐมภูมิให้เป็นด่านแรกและมีระบบส่งต่อที่ประสิทธิภาพ พร้อมให้การสนับสนุนทีมสหสาขาวิชาชีพ จัดสรรทรัพยากรอย่างเหมาะสม เพื่อยกระดับการให้บริการสุขภาพ ร่วมกับส่งเสริมให้ประชาชนดูแลสุขภาพของตนเองอย่างจริงจังและได้ผล
9. ขอให้ทุกภาคส่วนโดยเฉพาะ สธ. ขยายบริการช่วยชีวิตหรือรถพยาบาลฉุกเฉินที่มีประสิทธิภาพ เพื่อการเข้าถึงบริการอย่างเท่าเทียม เน้นพื้นที่ที่ขาดแคลนเป็นลำดับแรก
10. กองทุนสุขภาพภาครัฐ ติดตาม ตรวจสอบงบประมาณ รายจ่ายประจำปี และเผยแพร่ข้อมูลต่อสาธารณะ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ความเป็นธรรม และความโปร่งใสต่อทรัพยากรของรัฐ

E – Efficiency: เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรด้านสุขภาพให้เกิดประโยชน์สูงสุด และลดบริการที่มีคุณค่าต่ำหรือมีต้นทุนสูงเกินจำเป็น อาทิ 
11. สนับสนุนการวิเคราะห์ ติดตาม ลดความสูญเปล่าในระบบสุขภาพ บริการที่มีคุณค่าต่ำ โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ สู่การพัฒนาชุดสิทธิประโยชน์ และหารือราชวิทยาลัยต่างๆ เพื่อนำบริการที่มีคุณค่าต่ำออกจากแนวทางเวชปฏิบัติ
12. สนับสนุนการดำเนินมาตรการจูงใจด้านคุณภาพ เพื่อลดการนอนโรงพยาบาลในผู้ป่วยที่สามารถรักษาด้วยบริการผู้ป่วยนอกที่มีประสิทธิภาพ ส่งเสริมการป้องกันโรคเชิงรุกในทุกมิติ รวมถึงการการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานให้เข้าสู่ระยะสงบ (Diabetes Remission) การป้องกันภาวะก่อนเบาหวาน และการชะลอการเสื่อมของไตในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง
13. ประกาศ “ทศวรรษแห่งการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบสุขภาพ พ.ศ. 2569–2578 (Decade for Strengthening Health Systems Efficiency)” เพื่อปฏิบัติการลดความสูญเปล่า งดเว้นการจัดบริการที่มีคุณค่าต่ำในระบบสุขภาพ รวมถึงเปลี่ยนผ่านจากวิธีการจ่ายแบบ Fee-for-Service ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของอุปสงค์ที่ไม่จำเป็น ไปสู่ระบบการจ่ายเงินแบบปิด

รูปภาพเพิ่มเติม

แสดงความคิดเห็น

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เราใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา โปรดศึกษาเพิ่มเติมที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว
ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

จัดการความเป็นส่วนตัว
คุกกี้ที่มีความจำเป็น
(Strictly Necessary Cookies) เปิดใช้งานตลอด

คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ สวรส เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ สวรส. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้