ภัยธรรมชาติและเหตุฉุกเฉินที่เกิดขึ้นแบบไม่คาดคิด นับวันจะทวีความรุนแรงและมีความถี่มากขึ้น หรือบางเหตุการณ์ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เช่น แผ่นดินไหวระดับรุนแรงที่ส่งผลกระทบและความสูญเสียในวงกว้าง เหตุความไม่สงบชายแดน ถนนยุบ โลกร้อน ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ฯลฯ จากการถอดบทเรียนแต่ละเหตุการณ์พบว่า pain point สำคัญคือ ระบบข้อมูลสารสนเทศที่ใช้เพื่อการเฝ้าระวัง สื่อสารความเสี่ยง แจ้งเตือนภัย หรือระบบบริหารจัดการเมื่อเกิดเหตุแล้ว รวมถึงเรื่อง Data sharing การจัดการระบบข้อมูล ซึ่งจาก pain point ที่เป็นช่องว่างความรู้ดังกล่าว สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) จึงร่วมกับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง พัฒนานวัตกรรมสารสนเทศทางภูมิศาสตร์เพื่อบริการการแพทย์ฉุกเฉิน การตอบสนองภัยพิบัติ และการเยี่ยมบ้าน สนับสนุนภารกิจด้านสาธารณสุขในพื้นที่ จ.เชียงราย โดย สวรส. และทีมวิจัยได้ร่วมนำเสนอผลการพัฒนานวัตกรรมฯ ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระบบสาธารณสุขฉุกเฉินของกระทรวงสาธารณสุขในการประชุมหารือแนวทางการพัฒนาระบบสารสนเทศในภาวะฉุกเฉินและภัยพิบัติด้านการแพทย์และสาธารณสุข ปีงบประมาณ 2568 เมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2568 ณ ห้องประชุม PHEOC-1 กองสาธารณสุขฉุกเฉิน ชั้น 7 อาคาร 5 สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข โดยมี นพ.สฤษดิ์เดช เจริญไชย ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขฉุกเฉิน เป็นประธานการประชุม
ผศ.ดร.จรวยพร ศรีศศลักษณ์ รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข กล่าวว่า สวรส. มีแผนงานพัฒนาระบบสุขภาพในการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพและภัยสุขภาพ ซึ่งเป็นแผนงานที่ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบสุขภาพเพื่อรองรับภาวะฉุกเฉินต่างๆ และประกอบกับการถ่ายโอนภารกิจของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ไปยังองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) จึงทำให้ควรมีเครื่องมือหรือนวัตกรรมให้กับ อบจ. ในการดูแลสุขภาพของประชาชนยามที่ต้องเผชิญภาวะฉุกเฉินในพื้นที่ โดยพื้นที่ จ.เชียงราย เป็นพื้นที่ที่มีการถ่ายโอนฯ ทั้งจังหวัด ดังนั้น สวรส. จึงพัฒนานวัตกรรมสารสนเทศทางภูมิศาสตร์เพื่อบริการการแพทย์ฉุกเฉิน การตอบสนองภัยพิบัติ และการเยี่ยมบ้าน สนับสนุนภารกิจด้านสาธารณสุขของ อบจ.เชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่ตัวอย่างในการศึกษาวิจัย โดยนวัตกรรมดังกล่าวมีชื่อว่า G-EOC ซึ่งเป็นระบบสารสนเทศกลางในการบริหารจัดการข้อมูลร่วมกันในภาวะฉุกเฉินของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อลดการทำงานที่ซ้ำซ้อน และเสริมหนุนการทำงานให้มีประสิทธิภาพและเป็นระบบมากที่สุด โดย สวรส. และทีมวิจัยจะจัดทำคู่มือการใช้นวัตกรรมสารสนเทศฯ ดังกล่าว เพื่อการขยายผลการใช้ประโยชน์ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในทุกพื้นที่ด้วย
ด้าน รศ.ดร.บุญญาภัทร ชาติพัฒนานันท์ หัวหน้าโครงการวิจัยฯ สรุปให้เห็นถึงจุดเด่นของงานวิจัยว่า นวัตกรรม G-EOC เป็นการพัฒนาระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ที่ช่วยในการบริหารจัดการ คน เงิน สิ่งของ ในการตอบสนองภัยพิบัติ และเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้กระทรวงสาธารณสุขสามารถสั่งการได้อย่างรวดเร็ว ใช้ทรัพยากรได้คุ้มค่า และช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้มากขึ้น โดย G-EOC คือแพลตฟอร์มที่รวมข้อมูลคน เงิน สิ่งของ และข้อมูลของทุกภาคส่วนไว้ในระบบเดียว เพื่อให้การสั่งการและการช่วยเหลือเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และตรวจสอบได้ ทั้งนี้จุดแข็งของ G-EOC คือ เป็นฐานข้อมูลกลางหนึ่งเดียวที่ทุกหน่วยงานสามารถเห็นข้อมูลที่ตรงกัน เห็นภาพรวมของภัยฉุกเฉินต่างๆ มีแผนที่ของกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ผู้ป่วยติดเตียง ฯลฯ เพื่อการจัดสรรการช่วยเหลือได้ตรงจุด มีระบบการรายงานแบบ Dashboard และระบบแจ้งเตือนแบบทันเหตุการณ์ รองรับการตัดสินใจเชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติ และเป็นฐานข้อมูลกลางที่สามารถเข้าถึงได้สะดวกทั้งประชาชน หน่วย EOC บุคลากรสาธารณสุข ฝ่ายปกครอง อาสาสมัครเอกชน
ระบบ GIS (Geographic Information System) ใน G-EOC มีความสามารถเชิงลึกที่สำคัญในการสนับสนุนการบริหารจัดการภาวะฉุกเฉิน คือ การระบุตำแหน่งผู้ต้องการความช่วยเหลือ ระบุพิกัดตำแหน่งของที่อยู่อาศัยของประชาชนที่ต้องการความช่วยเหลือได้อย่างแม่นยำ ซึ่งช่วยให้ทีมปฏิบัติการสามารถเข้าถึงพื้นที่เป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งยังสามารถใช้วิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ มีการติดตั้งระบบบันทึกและวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ ซึ่งใช้ข้อมูลเชิงพื้นที่และสถิติต่างๆ เพื่อให้สามารถดำเนินการ ประเมินและวิเคราะห์ความเปราะบางของพื้นที่ได้อย่างครอบคลุมและเป็นระบบ และที่สำคัญการระบุศูนย์พักพิงที่หลากหลาย ความสามารถของ GIS ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการระบุพิกัดศูนย์พักพิงที่จัดตั้งโดยหน่วยงานราชการเท่านั้น แต่ยังสามารถรวบรวมและระบุพิกัดของศูนย์พักพิงที่ประชาชนเคยจัดตั้งขึ้นเอง ในสถานการณ์ภัยพิบัติที่ผ่านมาด้วย ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่ช่วยในการวางแผนรับมือ และเพื่อความเข้าใจและการประสานงานที่ชัดเจนในทีมปฏิบัติการ โดยพิกัดที่บันทึกไว้จะมีการระบุชื่อและรายละเอียดด้วย ภาษาท้องถิ่น เพื่อลดความสับสนและเพิ่มความรวดเร็วในการทำงานภาคสนาม
นอกจากนี้ระบบ G-EOC ได้รวมฟังก์ชันที่สำคัญสำหรับการตอบสนองในภาวะฉุกเฉินคือ ระบบค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัย ซึ่งถูกออกแบบให้ผู้ประสบภัยสามารถแจ้งขอความช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็ว และเจ้าหน้าที่สามารถ ติดตามสถานะการให้ความช่วยเหลือได้อย่างต่อเนื่อง สำหรับการเข้าถึงและการใช้งาน ระบบรองรับการเข้าถึงผ่านช่องทางหลักสองช่องทาง ได้แก่ Web Application (ผ่านเว็บไซต์ g-eoc.com) และผ่านช่องทาง LINE OA เพื่อความสะดวกและครอบคลุมในการใช้งาน
ระบบ GeoHealth ที่บูรณาการเข้ากับ G-EOC มีความสามารถในการสนับสนุนการเตรียมพร้อมและการเผชิญเหตุ ดังนี้ 1) การพยากรณ์ภัยล่วงหน้า ระบบสามารถดำเนินการพยากรณ์สถานการณ์น้ำท่วมล่วงหน้าได้สูงสุด 7 วัน ในระดับจังหวัด เพื่อประโยชน์ในการวางแผนเชิงป้องกัน 2) การเตือนภัยธรรมชาติ มีการแสดงผลข้อมูลการพยากรณ์พายุ และการ รายงานสถานการณ์แผ่นดินไหวแบบ Real-Time ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน ทั้งนี้ได้มีการทดลองใช้ระบบ G-EOC ในสถานการณ์จำลองและมีการซ้อมแผนจริง ซึ่งพบว่า การประเมินภาพรวมโดยผู้ใช้งานจริง ประเมินว่านวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นมีประโยชน์มาก และควรคงระบบนี้ไว้เพื่อการใช้งานต่อไป รวมถึงผู้ทดลองใช้ระบบมีความเห็นว่า ระบบมีความเหมาะสมสำหรับการดูแลและบริหารจัดการศูนย์พักพิง รวมถึงการจัดการผู้ประสบภัยที่ร้องขอความช่วยเหลือจากภาคประชาชน แต่ต้องการให้เพิ่มบทบาทของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เนื่องจากเป็นคนปฏิบัติงานที่ใกล้ชิดพื้นที่ และสามารถเข้าถึงพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว
ด้านข้อเสนอเชิงนโยบาย ควรขยายผล G-EOC จากต้นแบบ จ.เชียงราย ไปยังทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยเริ่มจากพื้นที่เสี่ยงภัยสูง ควรกำหนดเป็นระบบกลางของกระทรวงสาธารณสุข โดยเชื่อมต่อกับฐานข้อมูล GISTDA และระบบเตือนภัยอื่น ควรมีการลงทุนด้านการพัฒนาศักยภาพให้กับเจ้าหน้าที่ทุกระดับเพื่อการใช้ระบบได้จริง ควรมีการสนับสนุนงบประมาณอย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับปรุงระบบและเชื่อมโยงข้อมูลระดับชาติต่อไป