ชั้น 4 อาคารสุขภาพแห่งชาติ เลขที่ 88/39 ถ.ติวานนท์ 14 ต.ตลาดขวัญ อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
ขนาดตัวอักษร
-
+
ความตัดกันของสี
C
C
C
icon-lang-thภาษาไทย
ค้นหา
เมนู

วิจัยและนวัตกรรม R2R แก้ปัญหาบริการสุขภาพ จากวิจัยหน้างานสู่การพัฒนาระบบสุขภาพเข้มแข็ง

          ในการประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ มหกรรม R2R National Forum ครั้งที่ 12 ประจำปี 2568 ภายใต้แนวคิด “จุดประกายการเปลี่ยนแปลงสู่อนาคตระบบสาธารณสุขที่ยั่งยืน” (The Future of Healthcare Transformation) เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับการพัฒนางานประจำสู่งานวิจัย (R2R) และต่อยอดงานวิจัย R2R สู่การสร้างนวัตกรรมระดับประเทศ ตลอดจนเพื่อสร้างเครือข่ายงานวิจัย R2R และเผยแพร่แนวคิด ตลอดจนประโยชน์ของการทำ R2R ให้แพร่หลาย โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมที่เป็นเครือข่าย R2R จากทั่วประเทศ ทั้งบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข บุคลากรจากสถาบันการศึกษา มาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้และนำเสนอผลงานวิจัยเด่น R2R ระหว่างวันที่ 18 - 20 ส.ค. 2568 ณ อิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี 

          โดยในวันที่ 18 ส.ค. 2568 นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้และบรรยายพิเศษในหัวข้อ “ร่วมสร้างงานวิจัยและนวัตกรรมที่พัฒนาระบบสุขภาพที่เข้มแข็ง” ช่วงหนึ่งว่า การจะพัฒนางานประจำสู่งานวิจัยที่เรียกว่า R2R: Routine to Research นั้น จำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจและเห็นภาพของระบบสุขภาพทั้งหมดว่าครอบคลุมเรื่องอะไรบ้าง และเชื่อมโยงกันอย่างไร เพื่อการเลือกประเด็นในการศึกษาวิจัยที่เป็นปัญหาสำคัญลำดับต้นๆ และสามารถระบุได้ว่าเป็นการแก้ไขปัญหาบริการสุขภาพระดับใด อย่างเช่นหลักการและความเข้าใจเรื่องการแพทย์และการสาธารณสุขที่มีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับบริบทในเรื่องนั้นๆ ว่าควรออกแบบการแก้ปัญหาที่มุ่งเรื่องใดเป็นสำคัญ ซึ่งถ้าเป็นด้านการแพทย์มุ่งเน้นไปที่การดูแลสุขภาพของปัจเจกบุคคล และการรักษาเป็นรายบุคคล ส่วนการสาธารณสุขมุ่งเน้นไปที่การดูแลที่มองรวมเป็นกลุ่ม ชุมชน และภาพรวมของประเทศ โดยเน้นการป้องกันไม่ให้เกิดการเจ็บป่วย ซึ่งมีการแบ่งระดับของการให้บริการสุขภาพ ตั้งแต่การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรคระดับปฐมภูมิกับกลุ่มคนสุขภาพปกติ เพื่อลดปัจจัยเสี่ยง การป้องกันโรคระดับทุติยภูมิกับกลุ่มคนที่เกิดโรคแต่ยังไม่มีอาการ เพื่อคัดกรองโรคได้อย่างรวดเร็ว การป้องกันโรคระดับตติยภูมิกับกลุ่มคนที่มีอาการป่วยแล้ว เพื่อลดภาวะแทรกซ้อน ด้านปัจจัยที่มีผลทำให้เกิดการเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ หรือเสียสุขภาวะที่ดี ปัจจัยส่วนใหญ่ 40% เกิดจากพฤติกรรมสุขภาพ รองลงมาเกิดจากพันธุกรรม 30% สภาพแวดล้อม 20% และการดูแลสุขภาพในสถานพยาบาล 10%

          นพ.ศุภกิจ กล่าวอีกว่า ระบบสาธารณสุขประเทศไทยอยู่ในระดับแนวหน้าของโลก ซึ่งเทียบเท่ากับประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา โดยวัดจาก Life expectancy หรือ อายุโดยเฉลี่ยของประชากรที่คาดว่าจะมีชีวิตอยู่ ซึ่งเมื่อเทียบ Life expectancy ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกานั้น มีจำนวนปีของ Life expectancy ที่ใกล้เคียงกันมาก แต่จำนวนงบประมาณแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยสหรัฐลงทุน 12,000 เหรียญต่อคนต่อปี ไทยใช้ 300 เหรียญต่อคนต่อปี ต่างกัน 40 เท่า แต่ได้ผลใกล้เคียงกัน ทั้งนี้จุดแข็งที่สำคัญของประเทศไทยคือ ระบบบริการปฐมภูมิที่เข้มแข็ง โดยมีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เป็นกลไกสำคัญ และมีระบบการป้องกันโรคที่โดดเด่นติดอันดับ 5 ของโลก 

          นอกจากนี้ ผอ.สวรส. ยังชี้ให้เห็นสถานการณ์สำคัญที่กำลังคุกคามประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเร็วกว่าที่คาด ทำให้สังคมต้องแบกรับภาระการดูแลผู้สูงอายุที่มีจำนวนมากขึ้น อัตราการเกิดน้อยลง โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) จากข้อมูลการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยพบว่า ความชุกของผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูงในคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป มีความชุกของโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้น และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้มีความเสี่ยงที่จะพัฒนาไปสู่การเป็นโรคไต โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจตามมา ซึ่งถ้าจะทำงานวิจัย R2R ควรเลือกทำในประเด็นที่มีความสำคัญลำดับต้นๆ เหล่านี้ก่อน เนื่องจากมีความต้องการการจัดการที่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งต้องเป็นการทำวิจัยเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการเข้าถึงบริการสุขภาพของคนทุกกลุ่มในสังคม โดยต้องเชื่อมโยงทุกมิติไปด้วยกัน ทั้งระบบบริการสุขภาพ กำลังคนด้านสุขภาพ การเงินการคลังด้านสุขภาพ ระบบสารสนเทศด้านสุขภาพ ยาและเทคโนโลยี การอภิบาลระบบสุขภาพ และระบบสุขภาพชุมชน ควบคู่กับการประเมินเชิงพัฒนา (Developmental Evaluation: DE) ซึ่งเป็นการประเมินที่สนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ระหว่างทาง และการให้ข้อมูลที่ช่วยลดการเกิดปัญหาต่างๆ ในอนาคต ทั้งนี้งานวิจัย R2R ใน 100 เรื่อง อาจจะมีงานที่เกิดเป็นนวัตกรรมดีๆ ประมาณ 10 แล้วเหลือแค่เพียง 1 เรื่องที่สามารถนำมาพัฒนาต่อ โดยอาจใช้ห้องปฏิบัติการนวัตกรรมทางสังคม (The Social Innovation Lab) มาช่วยในการขยายผลและทำให้เกิดการใช้งานได้จริง

          “ทุกวันนี้โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และ AI เข้ามามีบทบาทมากขึ้น การปรับตัวจึงเป็นเรื่องสำคัญในสถานการณ์การเปลี่ยนแปลง เพื่อความอยู่รอดและสามารถเดินหน้าต่อไปได้ รวมทั้งการแก้ปัญหาไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ถ้าเรายังทำแบบเดิม ก็จะได้ผลแบบเดิมๆ ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เพราะฉะนั้นเราต้องคิดใหม่ หรือสร้างนวัตกรรม เพื่อให้เกิดโอกาสของการแก้ปัญหาได้มากขึ้น นอกจากนี้การคิดนอกกรอบอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ก็เป็นเรื่องจำเป็นและสำคัญ ซึ่งงานวิจัย R2R สามารถนำแนวคิดเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหางานประจำด้วยงานวิจัยให้มีประสิทธิภาพ แม้เป็นจุดเล็กๆ แต่เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการพัฒนาระบบสุขภาพให้มีความเข้มแข็งและมีความเป็นธรรมให้กับทุกคนในสังคม” นพ.ศุภกิจ ทิ้งท้าย  

รูปภาพเพิ่มเติม

แสดงความคิดเห็น

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เราใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา โปรดศึกษาเพิ่มเติมที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว
ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

จัดการความเป็นส่วนตัว
คุกกี้ที่มีความจำเป็น
(Strictly Necessary Cookies) เปิดใช้งานตลอด

คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ สวรส เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ สวรส. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้