ข่าว/ความเคลื่อนไหว
การประชุมคณะกรรมการกำกับทิศทางแผนงานวิจัยระบบบริการสุขภาพ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ครั้งที่ 5/2568 มี นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วยกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ อาทิ นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ นพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา นพ.กิตตินันท์ อนรรฆมณี นพ.ชาญวิทย์ วสันต์ธนารัตน์ นพ.สุรพจน์ สุวรรณพานิช นพ.สุเทพ เพชรมาก ดร.ทพ.วีระศักดิ์ พุทธาศรี นพ.ชวินทร์ ศิรินาค นพ.ประสิทธิ์ชัย มั่งจิตร ผศ.ดร.จรวยพร ศรีศศลักษณ์ เมื่อวันที่ 15 ส.ค. 2568 ณ ห้องประชุมสุปัญญา สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ชั้น 4 อาคารสุขภาพแห่งชาติ
ทั้งนี้ในการประชุมฯ ได้มีการนำเสนอข้อเสนอโครงการวิจัยที่เป็นประเด็นสำคัญและมีผลกระทบสูงต่อการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ เพื่อรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากคณะกรรมการกำกับทิศทางฯ โดยเฉพาะเรื่อง “การวิเคราะห์บริการสาธารณสุขที่พึงประสงค์: กรณีศึกษาบริการปฐมภูมิในกรุงเทพมหานครและการเปรียบเทียบการเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายระหว่างโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขกับโรงพยาบาลสังกัดมหาวิทยาลัย” ซึ่งเป็นประเด็นที่ผู้กำหนดนโยบายให้ความสำคัญและต้องการข้อมูลจากงานวิจัยไปวางแผนและกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้โครงการวิจัยดังกล่าว ดร.ณัฐนันท์ วิจิตรอักษร สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ได้นำเสนอสาระสำคัญว่า จากปัญหาระบบบริการสุขภาพของประเทศไทย โดยเฉพาะหน่วยบริการที่เป็นโรงพยาบาลรัฐ ต้องเผชิญกับความท้าทาย เช่น ปัญหาขาดทุน/ขาดสภาพคล่องทางด้านการเงิน บุคลากรทางการแพทย์ไม่เพียงพอและกระจุกตัว ขณะที่บริการปฐมภูมิโดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร (กทม.) มีความซับซ้อน ทั้งโครงสร้างประชากรและรูปแบบบริการที่แตกต่างจากภูมิภาคอื่น จึงเป็นที่มาของคำถามวิจัยที่ว่า ต้นทุนของโรงพยาบาลรัฐเป็นอย่างไร การดำเนินงานมีประสิทธิภาพหรือไม่ อย่างไร ต้นทุนของโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขและโรงพยาบาลสังกัดมหาวิทยาลัยแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร ระบบบริการปฐมภูมิใน กทม. ควรเป็นอย่างไร ดังนั้นงานวิจัยจึงมีวัตถุประสงค์สำคัญคือ 1) เพื่อวิเคราะห์และเปรียบเทียบต้นทุนและค่าใช้จ่ายระหว่างโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขกับโรงพยาบาลสังกัดมหาวิทยาลัย 2) เพื่อศึกษารูปแบบและข้อจำกัดของบริการปฐมภูมิในเขต กทม. 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางการจัดสรรงบประมาณที่เหมาะสมแก่โรงพยาบาลของรัฐ 4) เพื่อเสนอแนวทางพัฒนารูปแบบบริการปฐมภูมิในบริบทเฉพาะของเมืองหลวง โดยใช้มุมมองทางเศรษฐศาสตร์ต่อบริการสุขภาพและการดำเนินงานของโรงพยาบาลรัฐมาใช้เป็นกรอบแนวคิดการวิจัย อาทิ ความจำเป็นพื้นฐาน ต้นทุน (รวมต้นทุนแฝง) ค่าใช้จ่าย (จำนวนเงินที่จ่ายจริงในบัญชี) ส่วนด้านการดำเนินงานเน้นการเข้าถึงบริการมากกว่ากำไรสูงสุด ส่วนกรอบแนวคิดเรื่องการบริการสุขภาพปฐมภูมิใน กทม. ศึกษาข้อมูลเรื่องนโยบายสามหมอ หน่วยบริการนวัตกรรม โดยจะนำข้อมูลต้นทุน ค่าใช้จ่าย และการบริการปฐมภูมิ อาทิ ข้อมูลงบการเงินและการดำเนินงานของโรงพยาบาล ข้อมูลต้นทุนจาก Thai CaseMix Centre (TCMC) ข้อมูลการเบิกจ่ายเงินของ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกของผู้เชี่ยวชาญและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ มาศึกษาและวิเคราะห์ ทั้งนี้ นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ให้ข้อเสนอแนะว่า เพื่อให้การศึกษาวิจัยมีการลงรายละเอียดได้อย่างชัดเจนในแต่ละประเด็น ควรแยกการศึกษาเป็น 2 เรื่อง 1) บริการปฐมภูมิใน กทม. 2) การเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายระหว่างโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขกับโรงพยาบาลสังกัดมหาวิทยาลัย และโดยเรื่องการเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายฯ ควรเน้นศึกษาข้อมูลต้นทุนที่จำเป็นก่อนให้ครบถ้วน และเร่งการศึกษาเพื่อให้เห็นข้อมูลภายใน 6 เดือน เนื่องจากเป็นประเด็นที่ผู้กำหนดนโยบายต้องการข้อมูล ส่วนเรื่องบริการปฐมภูมิใน กทม. เช่น การให้บริการคลินิกอบอุ่น ควรวิเคราะห์ให้ละเอียดว่ามีปัญหาอะไรบ้าง เช่น เรื่องการส่งเสริมสุขภาพได้มีการดำเนินการมากน้อยอย่างไร คลินิกนวัตกรรมช่วยอะไรได้บ้าง ฯลฯ
“การประเมินผลกระทบของนโยบายมะเร็งรักษาทุกที่ในประเทศไทย: จากหลักฐานสู่นโยบาย” โดย ดร.นพ.ยศ ตีระวัฒนานนท์ มูลนิธิเพื่อการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ สรุปสาระสำคัญว่า โรคมะเร็งเป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทย และการรักษามีความเหลื่อมล้ำสูง ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ใน กทม. และเมืองใหญ่ๆ โรงพยาบาลหลายแห่งต้องส่งต่อผู้ป่วยไปรับการรักษาในโรงพยาบาลที่มีความพร้อมมากกว่า ทำให้มีนโยบาย “มะเร็งรักษาทุกที่” (Cancer Anywhere: CA) เมื่อวันที่ 1 ม.ค. 2564 เพื่อเพิ่มความสะดวกและรวดเร็วในการเข้าถึงการรักษาของผู้ป่วยมะเร็ง ไม่ต้องรอการส่งตัวไปตามลำดับของโรงพยาบาล ผู้ป่วยสามารถเลือกรับการรักษาในโรงพยาบาลที่ตนเองพอใจ แต่หลังจากประกาศใช้นโยบายดังกล่าว ยังไม่มีการประเมินผลในภาพรวมของประเทศ และยังมีคำถามว่านโยบายดังกล่าวสร้างความเท่าเทียมให้ผู้ป่วยมะเร็ง ลดระยะเวลาในการรอเข้ารับการรักษา รวมถึงเพิ่มอัตราการรอดชีวิตจากโรคมะเร็งในผู้ป่วยในพื้นที่ต่างๆของประเทศได้มากน้อยอย่างไร และยังพบว่ามีการเบิกจ่ายเงินทดแทนในการให้บริการของโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความยั่งยืนทางการเงินของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือไม่ ดังนั้นงานวิจัยจึงมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาแบบแผนของการวินิจฉัยโรคมะเร็ง การรักษาโรคมะเร็ง การเข้ารับการรักษาโรคมะเร็งในสถานพยาบาล การใช้บริการรักษาโรคมะเร็งผ่านช่วงเวลาต่างๆ โดยจำแนกตามอายุ เพศ ภูมิศาสตร์ และประเภทสถานพยาบาล 2) เพื่อศึกษาแนวโน้มของอัตราการรอดชีวิตในผู้ป่วยที่ได้รับวินิจฉัยโรคมะเร็ง หรือผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาโรคมะเร็งจำแนกตามอายุ เพศ ภูมิศาสตร์ และประเภทสถานพยาบาล 3) เพื่อศึกษาแนวโน้มระยะยาวของของต้นทุนที่เกี่ยวกับการรักษาโรคมะเร็ง ภายใต้ระบบประกันสุขภาพแห่งชาติ 4) เพื่อศึกษามุมมองของผู้ป่วยและผู้ให้บริการ เกี่ยวกับการบริหารจัดการนโยบายและการจัดบริการภายใต้นโยบายนี้ ทั้งนี้งานวิจัยจะศึกษาข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ โดยใช้ข้อมูลจาก สปสช. ทั้ง 13 เขตมาวิเคราะห์ และจะพิจารณาปัจจัยที่สนับสนุนให้ผู้ป่วยมาใช้บริการ เพื่อนำไปสู่ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่ส่งผลให้เกิดการพัฒนาระบบการให้บริการผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ดีขึ้น
“การพัฒนากรอบแนวทางการกำกับดูแลโรงพยาบาลเอกชน เพื่อระบบสุขภาพที่เป็นธรรม” โดย รศ.ดร.นพ.บวรศม ลีระพันธ์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และ อ.ฉัตร คำแสง ผู้อำนวยการศูนย์ความรู้นโยบายสาธารณะเพื่อการเปลี่ยนแปลง สรุปสาระสำคัญว่า การที่จะให้ภาคเอกชนเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างผลลัพธ์สุขภาพที่เป็นธรรม นำไปสู่คำถามวิจัยที่ว่า นโยบายสาธารณะเพื่อส่งเสริมและกำกับดูแลโรงพยาบาลเอกชนให้เป็นส่วนหนึ่งในระบบสุขภาพของประเทศไทยที่เป็นธรรมควรเป็นอย่างไร ดังนั้นงานวิจัยจึงมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ทบทวนผลกระทบจากแนวทางการดำเนินงานของโรงพยาบาลเอกชนต่อการเข้าถึงระบบบริการสุขภาพของประชาชน 2) ศึกษาแนวทางการกำกับดูแลโรงพยาบาลเอกชนเพื่อสร้างระบบสุขภาพที่เป็นธรรมในต่างประเทศ ที่เหมาะสมในการประยุกต์ใช้กับระบบสุขภาพของประเทศไทย 3) ศึกษาระบบแรงจูงใจเพื่อส่งเสริมและขจัดอุปสรรคในการทำงานของโรงพยาบาลเอกชนในฐานะผู้เล่นสำคัญของระบบสุขภาพที่เป็นธรรม 4) ออกแบบแนวทางการกำกับดูแลโรงพยาบาลเอกชนเพื่อสร้างระบบสุขภาพที่เป็นธรรม โดยนำทฤษฎีและแนวคิดที่เกี่ยวข้องมาทำความเข้าใจโครงสร้างและค้นหาจุดคานงัดในระบบสุขภาพด้วยกระบวนการคิดเชิงระบบ (systems thinking) ทำความเข้าใจแรงจูงใจและปฏิสัมพันธ์ด้วยเศรษฐศาสตร์ สร้างพื้นที่แห่งการเปลี่ยนแปลงด้วย Triple A จัดการความรู้และสื่อสารสาธารณะอย่างมียุทธศาสตร์ และมีกรอบแนวคิดสำคัญของการศึกษาวิจัยคือ ปรับนโยบาย เปลี่ยนแรงจูงใจ เพื่อเป้าหมายให้ภาคเอกชนมาเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างผลลัพธ์ทางสุขภาพที่เป็นธรรม ทั้งนี้ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากงานวิจัย ได้องค์ความรู้เกี่ยวกับการดำเนินงาน แนวปฏิบัติที่ดี และกลไกการดำเนินงาน ตลอดจนข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการส่งเสริมและกำกับดูแลโรงพยาบาลเอกชน ให้เป็นส่วนหนึ่งของระบบสุขภาพที่เป็นธรรม ได้กรอบแนวทางการทำงานในการพัฒนาระบบสุขภาพให้มีความเป็นธรรมมากขึ้น ได้กลไกการดำเนินงานเพื่อเสริมพลังภาคประชาชนให้เป็นผู้บริโภคที่เท่าทันในการใช้บริการโรงพยาบาลเอกชน
และปิดท้ายด้วยการนำเสนอข้อเสนองานวิจัย “โครงการวิจัยเชิงระบบเพื่อสนับสนุนการจัดทำกฎหมายลำดับรองภายใต้ร่างพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....” โดย รศ.ดร.นพ.พลเทพ วิจิตรคุณากร คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สรุปสาระสำคัญว่า ประเทศไทยอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการปฏิรูประบบควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผ่านร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับใหม่) ซึ่งขณะนี้ได้ผ่านวาระที่ 2 และ 3 ของวุฒิสภาแล้ว และเตรียมประกาศใช้ในเร็วๆ นี้ โดยภายใต้กฎหมายฉบับใหม่ จำเป็นต้องจัดทำกฎหมายลำดับรองภายใน 1 ปี เพื่อรองรับการบังคับใช้กฎหมายหลักให้มีประสิทธิภาพ และสามารถนำไปใช้จริงได้ งานวิจัยจึงมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์ร่าง พ.ร.บ. และประเด็นที่ต้องออกกฎหมายลำดับรอง 2) สังเคราะห์หลักฐานเชิงวิชาการใน 5 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1. กลไกคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ระดับประเทศและจังหวัด 2. การควบคุมการขายและดื่ม 3. การควบคุมการโฆษณาและความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมขององค์กร 4. ระบบบำบัดและเยียวยา 5. ระบบบทลงโทษและการบังคับใช้ 3) จัดทำร่างกฎหมายลำดับรองพร้อมคู่มือ/เครื่องมือสนับสนุนการบังคับใช้ 4) รับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และทดสอบการใช้งานในพื้นที่นำร่อง 5) จัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายและชุดเอกสารประกอบการพิจารณาของหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบ โดยมีกรอบแนวคิดการวิจัยว่า การออกกฎหมายลำดับรองที่มีประสิทธิภาพต้องมีองค์ประกอบดังนี้ มีข้อมูลเชิงประจักษ์ มีความสมดุลของผลประโยชน์และผลกระทบ มีกระบวนการมีส่วนร่วม มีการบังคับใช้กฎหมายและความยั่งยืน มีความต้องการเฉพาะของบริบทพื้นที่ มีการติดตามประเมินผลนโยบาย ทั้งนี้ผลลัพธ์สำคัญที่คาดว่าจะได้รับคือ มีการใช้ประโยชน์จากกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เป็นหน่วยงานภาครัฐ อปท. ภาคประชาชน และผู้ประกอบการ มีการทดลองใช้จริงในพื้นที่นำร่อง เกิดเครือข่ายความร่วมมือ มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย มีมาตรการด้านสุขภาพระดับจังหวัด มีนวัตกรรมเชิงระบบ เช่น คู่มือสำหรับพนักงานปฏิบัติการของกฎหมายลำดับรอง ตลอดจนเกิดประโยชน์กับประชาชนทั่วประเทศ และนำไปสู่การลดผลกระทบจากแอลกอฮอล์
ด้าน ผศ.ดร.จรวยพร ศรีศศลักษณ์ รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข สรุปปิดท้ายว่า ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากคณะกรรมการฯ มีประโยชน์เป็นอย่างยิ่งต่อการพัฒนาข้อเสนอโครงการวิจัยทั้ง 4 เรื่อง เพื่อให้มีความชัดเจนของโจทย์วิจัย และการศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้านมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้งานวิจัยสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาระบบบริการสุขภาพของประเทศได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น
คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ สวรส เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ สวรส. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้