ใต้สะพานลอยหรือเงามืดริมถนนบางแห่ง เราอาจเคยคุ้นตากับบ้านสมมติของใครหลายคนที่เป็นผลกระทบจากปัญหาโครงสร้างของเรื่องต่างๆ ในสังคม จนถูกผลักออกมาเป็นคนไร้บ้าน/ไร้ที่พึ่ง ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการทำงานร่วมกันของหลายภาคส่วนเพื่อช่วยเหลือคนไร้บ้าน/ไร้ที่พึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยมีข้อมูลของคนไร้บ้าน/ไร้ที่พึ่งชัดเจนมากขึ้น เพื่อนำไปสู่การผลักดันให้เกิดการดูแลคนกลุ่มนี้ได้อย่างตรงจุด เห็นได้จากโครงการแจงนับคนไร้บ้าน (One Night Count) จากความร่วมมือของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และภาคีเครือข่าย ซึ่งเป็นการลงพื้นที่สำรวจและเก็บข้อมูลจำนวนคนไร้บ้านในปี 2566 ที่นำมาสู่การเกิดฐานข้อมูล (Dashboard) คนไร้บ้านในประเทศไทย โดยแบ่งข้อมูลออกเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่ ข้อมูลการแจงนับคนไร้บ้าน ที่พบคนไร้บ้านจำนวน 2,499 คน และข้อมูลการสำรวจคนไร้บ้านเชิงลึก ที่สามารถแบ่งประเภทของคนไร้บ้านได้จำนวน 1,393 คน[1]
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขของคนไร้บ้านเป็นแค่เพียงจุดตั้งต้นของการทำความเข้าใจคนไร้บ้าน/ไร้ที่พึ่งที่มีอยู่หลากหลายกลุ่มเท่านั้น หากแต่ยังมีโจทย์ใหญ่ที่ต้องเลาะตะเข็บการแก้ปัญหาต่อไป โดยเฉพาะกลุ่มคนไร้บ้านที่ ‘ป่วยเป็นจิตเวช’ ร่วมด้วย ซึ่งการสำรวจที่ผ่านมาอาจยังไม่มีข้อมูลที่ชี้ชัดถึงสาเหตุที่มา หรือความเชื่อมโยงกับปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ของการนำไปสู่การเป็นคนไร้บ้าน/ไร้ที่พึ่งที่ป่วยจิตเวช จึงทำให้การดำเนินนโยบายในการป้องกันเพื่อไม่ให้คนเปราะบางกลุ่มต่างๆ เข้าสู่ภาวะไร้บ้าน ยังไม่เกิดประสิทธิภาพเท่าที่ควร
สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) เป็นอีกองค์กรหนึ่งที่เห็นถึงความสำคัญของระเบิดเวลาลูกนี้ในสังคม จึงสนับสนุนทุนวิจัยให้กับสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศึกษาวิจัยเรื่อง “การศึกษาสถานการณ์และข้อจำกัดเชิงระบบในการดูแลคนไร้บ้าน/ไร้ที่พึ่งที่เป็นผู้ป่วยจิตเวชในประเทศไทย” เพื่อสร้างชุดข้อมูลพื้นฐานในการทำความเข้าใจสถานการณ์ปัญหาของคนไร้บ้าน/ไร้ที่พึ่งที่เป็นผู้ป่วยจิตเวช รวมถึงความต้องการจำเป็นที่ยังไม่มีบริการตอบสนอง และโอกาสในการพัฒนาระบบการดูแลในสถานพยาบาลและสถานสงเคราะห์ของรัฐ ซึ่งจะเป็นข้อมูลสำคัญในการวางแผนเชิงนโยบายเพื่อการแก้ปัญหาให้ตรงจุดต่อไป
อาจารย์อนรรฆ พิทักษ์ธานิน สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หัวหน้าโครงการวิจัยฯ ให้ข้อมูลจากการศึกษาวิจัยว่า งานวิจัยได้ศึกษาสถานการณ์ของคนไร้บ้าน/ไร้ที่พึ่งที่เป็นผู้ป่วยจิตเวชในปัจจุบัน พร้อมวิเคราะห์ข้อจำกัดเชิงระบบ โดยอาศัยข้อมูลจากสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง 11 แห่ง บ้านกึ่งวิถีชายและหญิง 2 แห่ง และโรงพยาบาลจิตเวชสังกัดกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข 10 แห่ง โดยวิเคราะห์ทั้งเชิงประมาณจากเวชระเบียนและการประเมินศักยภาพผู้รับบริการ ตลอดจนสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ปฏิบัติงานและผู้กำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งพบว่า สิ่งที่เห็นข้อมูลชัดเจนคือ กลุ่มคนไร้ที่พึ่งที่อยู่ในสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งของ พม. ทั้งหมด 4,047 คน ในจำนวนนี้กว่า 75% หรือประมาณ 3 ใน 4 ของทั้งหมดเป็นผู้ป่วยจิตเวช ซึ่งทำให้ พม. ต้องดูแลทั้งในเชิงกายภาพและด้านสุขภาพจิตด้วย
“ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งของ พม. มีภารกิจหลักในการดูแลคนไร้ที่พึ่ง แต่ปัจจุบันต้องดูแลคนไร้ที่พึ่งที่มีภาวะจิตเวชควบคู่ด้วย ส่งผลให้ไม่มีศักยภาพพอในการดูแลที่นำไปสู่การฟื้นฟูภาวะจิตเวช เช่น ไม่มีนักจิตวิทยา หรือพยาบาล มีแค่นักสังคมสงเคราะห์ แต่หลายแห่งพยายามจับมือกับโรงพยาบาลจิตเวช เพื่อจัดโครงการดูแล หรืออย่างบ้านกึ่งวิถีที่มีบทบาทในการฟื้นฟูให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้กลับคืนสู่สังคมได้ แต่ก็ไม่ได้มีศักยภาพมากพอในการดูแลที่ต้องมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านขนาดนั้น และหลายเคสมีความเจ็บป่วยจากบางอาการร่วมด้วย อย่างการใช้สารเสพติด ซึ่งทำให้การฟื้นฟูเป็นไปได้ยาก” อ.อนรรฆ กล่าวเสริม
ขณะที่ต้นทางในการดูแลอย่างโรงพยาบาลจิตเวช จากการไปสำรวจเวชระเบียน พบว่า มีผู้ป่วยจิตเวชที่ญาติขาดการติดต่อ หรือไร้ที่พึ่ง เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยจากปี 2563 ที่มีอยู่ 526 ราย เพิ่มขึ้นเป็น 1,059 รายในปี 2567 ซึ่งสาเหตุหลักๆ ที่ผลักให้ผู้ป่วยจิตเวชกลุ่มนี้กลายเป็นคนไร้ที่พึ่ง กว่า 40% มาจากการที่ครอบครัวหรือชุมชนไม่มีผู้ดูแล หรือไม่มีความสามารถในการดูแล แม้จะอยากดูแลก็ตาม ตัวอย่างเช่น มีหลายกรณีที่ครอบครัวขาดการติดต่อตอนที่ผู้ป่วยจิตเวชอยู่ที่โรงพยาบาล แต่เมื่อถูกจำหน่ายออกจากโรงพยาบาล และต้องไปอยู่ที่ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ญาติก็กลับมาติดต่อผู้ป่วย แต่ขณะเดียวกันก็ไม่มีความสามารถมากพอในการรับกลับไปดูแลในครอบครัว อีกทั้งหลายครอบครัว หรือชุมชนไม่ทราบตั้งแต่ต้นว่าสมาชิกในครอบครัว หรือในชุมชนมีอาการเจ็บป่วยทางจิต ทำให้กลุ่มผู้ป่วยเหล่านี้ได้รับการรักษาที่ค่อนข้างช้ากว่าคนกลุ่มอื่นถึง 2.5 ปีจากระยะเวลาเริ่มป่วย ซึ่งถือเป็นระยะเวลาที่ค่อนข้างช้า เพราะเลยช่วงเวลาที่จะทำให้สามารถหายขาดได้ และทำให้อาการเจ็บป่วยมีโอกาสที่จะรุนแรงมากขึ้น รวมถึงต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง ส่งผลไปถึงปลายทางทำให้ครอบครัว หรือชุมชนไม่สามารถดูแลได้
“คนกลุ่มนี้ไม่ได้ป่วยแล้วกลายเป็นคนไร้บ้านเลย แต่ป่วยแล้วอาจมีอาการรุนแรง และที่บ้านหรือชุมชนไม่ได้มีศักยภาพมากพอในการดูแล หรือเดิมอาศัยอยู่คนเดียว ซึ่งเมื่อมีการจำหน่ายผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาล จึงต้องไปอยู่กับ พม. หรือไปอยู่ที่บ้าน แต่ที่บ้านดูแลไม่ได้ก็กลายเป็นคนไร้บ้าน ส่วนคนที่อยู่คนเดียวมักเจอปัญหาเข้าถึงการดูแลรักษาไม่ต่อเนื่อง” อ.อนรรฆ ขยายความ
จากสถานการณ์ที่พบเหล่านี้ สะท้อนให้เห็นช่องว่างที่สำคัญและควรพัฒนาต่อ ได้แก่ 1) ควรมีการพัฒนาระบบการคัดกรองตั้งแต่เริ่มต้นในกลุ่มที่เริ่มมีอาการป่วยทางจิต ซึ่งควรมีการพัฒนาให้กับครอบครัว อาสาสมัคร หรือชุมชน โดยมีเครื่องมือในการคัดกรอง 2) ควรสร้างระบบในการช่วยให้คนในครอบครัวสามารถดูแลผู้ป่วยจิตเวชที่บ้านได้ 3) ควรสร้างระบบสนับสนุนการดูแลระหว่างหน่วยงาน 4) ควรสร้างความเข้าใจในสังคมเพื่อลดการตีตราในกลุ่มคนที่ไปรับการรักษาอาการทางจิตเวช
“ที่ผ่านมามีมายาคติในสังคมว่าควรจะกวาดคนเหล่านี้ไปเลย เพราะเป็นปัญหาของสังคม แต่จากการวิจัยทำให้เห็นชัดขึ้นว่าจริงๆ ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่มาจากคนไร้บ้านที่ป่วยเป็นจิตเวชเอง แต่มาจากการที่ยังไม่มีระบบดูแลระยะยาว และสังคมควรทำงานกับคนกลุ่มนี้มากขึ้น เพื่อขับเคลื่อนการแก้ปัญหาที่จะสามารถมองให้เห็นถึงความเชื่อมโยงกันทั้งระบบ” อนรรฆ กล่าวก่อนบอกด้วยว่า ขณะนี้กำลังเตรียมดำเนินการโครงการวิจัยระยะที่ 2 กับ สวรส. เพื่อต่อยอดข้อมูลที่ได้ดังกล่าวไปสู่การขับเคลื่อนให้เกิดการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยจะมุ่งไปที่การพัฒนาต้นแบบเพื่อแก้ไขปัญหา และปิดช่องว่างของระบบการดูแลที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
..........................
ข้อมูลจาก