4th Floor, National Health Building 88/39 Tiwanon 14 Road Taradkwan, Muang District Nonthaburi 11000
Font Size
-
+
color contrast
C
C
C
Search
เมนู

สวรส. สานพลัง สสส.-รามาฯ เปิดผลสำรวจสุขภาพ คนไทยครั้งที่ 7 วิกฤตคนไทยป่วยภาวะน้ำหนักเกิน-โรคอ้วน พุ่ง! 27.4 ล้านคน จ่อเสี่ยงเบาหวาน อีก 5.7 ล้าน

“อ้วน น้ำหนักเกิน-เบาหวาน–ความดันสูง” สวรส. สานพลัง สสส.-รามาฯ เปิดผลสำรวจสุขภาพคนไทยครั้งที่ 7 วิกฤตคนไทยป่วยภาวะน้ำหนักเกิน-โรคอ้วน พุ่ง! 27.4 ล้านคน จ่อเสี่ยงเบาหวานอีก 5.7 ล้าน ชู “Data-Driven Policy” ใช้ฐานข้อมูลสุขภาพเชื่อมโยงทั่วประเทศ ดันมาตรการช่วยคนไทยลดป่วย ป้องกันโรคได้ตรงจุด นักวิชาการห่วงคนรุ่นใหม่-วัยทำงาน ส่อแววป่วย NCDs สูงกว่ากลุ่มสูงอายุ แนะลดอายุคัดกรองกลุ่มเสี่ยงต่ำกว่า 35 ปี พร้อมรณรงค์ลดปัจจัยเสี่ยงก่อนอายุ 40 ปี หยุดวงจร NCDs ตั้งแต่ต้นทาง

          วันที่ 7 พ.ย. 2568 ที่โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ร่วมกับสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดงานแถลงผลการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกายครั้งที่ 7 พ.ศ. 2567-2568 ในหัวข้อ “สถานการณ์โรค NCDs ของไทย แนวโน้มและข้อเสนอเชิงนโยบาย” ภายใต้การสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย (National Health Examination Survey: NHES)

          นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) กล่าวว่า การสำรวจสุขภาพประชาชนไทยได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2534 ซึ่งเป็นข้อมูลด้านสุขภาพที่สำคัญต่อการดำเนินนโยบายด้านสาธารณสุขของประเทศไทย เนื่องจากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขยังมีข้อจำกัดเฉพาะกลุ่มคนที่ป่วยแล้ว และมารับการรักษาที่สถานบริการ แต่การสำรวจสุขภาพฯ ช่วยทำให้มองเห็นภาพรวมสถานการณ์สุขภาพของประเทศชัดเจนขึ้น สวรส. จึงให้ความสำคัญและสนับสนุนการสำรวจสุขภาพฯ มาโดยตลอด ซึ่งผลการสำรวจฯ ครั้งนี้ทำให้ทราบว่า ยังมีคนป่วยเบาหวานถึง 27% หรือ 1.6 ล้านคนที่ยังไม่รู้ตัวว่าเป็นเบาหวาน และคนป่วยความดันโลหิตสูง 48% หรือ 8.4 ล้านคนที่ไม่รู้ตัวว่าความดันโลหิตสูง สะท้อนให้เห็นว่าระบบสุขภาพของไทยยังมีช่องว่างที่ต้องพัฒนาเพื่อเพิ่มการเข้าถึงและครอบคลุม

          “การสำรวจสุขภาพฯ เปรียบเหมือนการลงทุนด้านข้อมูล ที่ช่วยให้ประเทศไทยสามารถก้าวทันสถานการณ์สุขภาพของประชาชน และใช้เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ในการวางแผนกลยุทธ์ด้านสาธารณสุขของประเทศ โดยเฉพาะการรับมือกับปัญหาสุขภาพที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งสามารถใช้ติดตามและประเมินผลนโยบายและมาตรการด้านสุขภาพ เพื่อการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น” นพ.ศุภกิจ กล่าว

          นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า “ข้อมูลสุขภาพประชาชน” เป็นรากฐานสำคัญของการวางนโยบายและยุทธศาสตร์การสร้างเสริมสุขภาพของประเทศ สสส. เห็นความสำคัญของการสำรวจสุขภาพฯ โดยได้สนับสนุนการสำรวจนี้ตั้งแต่ครั้งที่ 4 เป็นต้นมา ปัจจุบัน สสส. ได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินงานโดย “ขับเคลื่อนนโยบายด้วยข้อมูล” (Data-Driven Policy) ทั้งในระดับประเทศและระดับพื้นที่ โดยเฉพาะในยุคที่ปัจจัยกำหนดสุขภาพของคนไทยมีความซับซ้อนมากขึ้น ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ข้อมูลจึงเป็นเครื่องมือหลักในการกำหนดยุทธศาสตร์ จุดเน้น และตัวชี้วัดความสำเร็จของการสร้างเสริมสุขภาพ รวมถึงใช้ติดตามผลการทำงานสร้างเสริมสุขภาพของประชาชน ข้อมูลจากการสำรวจยังถูกนำไปใช้กำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดหลักของ สสส. ระยะ 10 ปี ทั้งในด้านการลดปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาวะ และการยกระดับสมรรถนะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้สามารถดำเนินงานสุขภาพด้วยตนเองได้อย่างยั่งยืน

          “การสำรวจสุขภาพฯ นี้เป็นข้อมูลระดับชาติหนึ่งเดียวในไทยที่มีการตรวจเลือดและเก็บตัวอย่างทางชีวภาพ เพื่อวิเคราะห์สถานะสุขภาพ เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือด ไต การทำงานของตับ สสส. ได้นำข้อมูลมาวิเคราะห์ร่วมกับฐานข้อมูลสุขภาพอื่นๆ ของประเทศ เช่น ข้อมูลการป่วยและการเสียชีวิต เพื่อนำไปพัฒนาดัชนีภาระโรค (Burden of Diseases) และคะแนนสุขภาพประชาชน (Health Score) สะท้อนสถานะสุขภาพของประชาชนไทย ทั้งโรค NCDs พฤติกรรมสุขภาพ และความเสี่ยงเชิงสิ่งแวดล้อม เช่น การวิเคราะห์พบว่า ผู้ที่ดื่มสุราระดับเสี่ยง มีค่าเอนไซม์ตับสูงกว่าคนทั่วไป 3-5 เท่า สะท้อนความเสี่ยงต่อโรคตับแข็งและมะเร็งตับอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ สสส. สามารถกำหนดกลยุทธ์การรณรงค์ลดการดื่มสุราได้ตรงจุดมากขึ้น เป็นพลังสำคัญของการสร้างเสริมสุขภาพยุคใหม่ เพราะจะทำให้มองเห็นปัญหาเชิงพื้นที่ได้แม่นยำขึ้น ติดตามผลได้ชัดเจนขึ้น และออกแบบนโยบายที่ตอบโจทย์ประชาชนได้จริง” นพ.พงศ์เทพ กล่าว

          ศ.นพ.วิชัย เอกพลากร ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวถึงสถานการณ์โรค NCDs ของไทยในรอบ 20 ปี หรือตั้งแต่ปี 2547-2568 ว่า แนวโน้มโรค NCDs ของไทยเพิ่มขึ้น ทั้งเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโดยเฉพาะภาวะน้ำหนักเกินและอ้วนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ไทยไม่บรรลุเป้าหมายขององค์การอนามัยโลก ที่กำหนดให้ในปี 2568 โดยไทยต้องลดโรคความดันโลหิตสูงลง 25% และไม่มีคนป่วยโรคเบาหวาน โรคอ้วนเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป ป่วยเบาหวาน 10.6% หรือ 6.1 ล้านคน (เพิ่มจาก 9.5% จากการสำรวจฯ ครั้งที่ 6 ปี 2563) โรคความดันโลหิตสูง คนไทยป่วย 29.5% หรือ 17.5 ล้านคน (เพิ่มจาก 25.4% จากการสำรวจฯ ครั้งที่ 6 ปี 2563) และคนไทยมีภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน 45% หรือ 27.4 ล้านคน (เพิ่มจาก 42.2% จากการสำรวจฯ ครั้งที่ 6 ปี 2563) และที่น่าเป็นห่วงคือมีคนที่เสี่ยงเป็นเบาหวานในอนาคตถึง 5.7 ล้านคน แม้ว่าคนป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จาก 13.8% เมื่อปี 2547 เพิ่มเป็น 28.6% ในการสำรวจฯ ครั้งนี้ แต่ยังต่ำกว่าเป้าหมายที่ WHO แนะนำ ซึ่งต้องอยู่ที่ 80%

          รศ.พญ.เริงฤดี ปธานวนิช ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และหัวหน้าโครงการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกายครั้งที่ 7 กล่าวว่า จากข้อมูลการสำรวจสุขภาพฯ นี้ทำให้พบว่า คนที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ ดื่มสุรา อ้วน หรือกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ มีแนวโน้มป่วยโรค NCDs เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนโดยเฉพาะกลุ่มวัยต่ำกว่า 40 ปี อย่างกรณีโรคเบาหวานที่มักไม่ค่อยพบในคนอายุน้อย กลุ่มอายุ 15-34 ปี หากไม่มีปัจจัยเสี่ยงใดๆ เลย พบป่วยเบาหวานเพียง 0.3% แต่หากสูบบุหรี่ อ้วน มีไขมันในเลือดสูง และความดันโลหิตสูง จะเสี่ยงเป็นเบาหวานสูงถึง 45.2% และที่น่ากังวลคือ พฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ ทั้ง สูบบุหรี่ ดื่มสุรา หรือมีกิจกรรมทางกายต่ำ พบว่า ในกลุ่มคนอายุน้อยมีแนวโน้มเสี่ยงเพิ่มขึ้นสูงกว่าในกลุ่มผู้สูงอายุ เช่น อัตราการสูบบุหรี่ในกลุ่มอายุ 15-34 ปี เพิ่มสูงขึ้น แต่ในผู้สูงอายุพบว่า มีแนวโน้มการสูบบุหรี่ลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าที่พุ่งเป้าไปที่กลุ่มเยาวชน โดยพบว่า 70% ของคนสูบบุหรี่ไฟฟ้าในไทยอายุต่ำกว่า 30 ปี

          “การจะควบคุมโรค NCDs ให้ได้ผล ต้องปรับกลยุทธ์ในการจัดการปัจจัยเสี่ยงสุขภาพ ควรกำหนดให้ปัจจัยเสี่ยงสุขภาพ เช่น อัตราการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา อ้วน เป็นตัวชี้วัดในการดำเนินงานและให้มีการคัดกรองร่วมกับการคัดกรองเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และควรขยายการคัดกรองที่ปัจจุบันคัดกรองคนอายุ 35 ปีขึ้นไป ให้ครอบคลุมกลุ่มอายุต่ำกว่า 35 ปีที่มีปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพด้วย รวมถึงการจัดกิจกรรมรณรงค์หรือโครงการปรับพฤติกรรมต่างๆ ควรเน้นไปที่กลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานเพิ่มมากขึ้น” รศ.พญ.เริงฤดี กล่าว 

รูปภาพเพิ่มเติม

แสดงความคิดเห็น

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เราใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา โปรดศึกษาเพิ่มเติมที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว
ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

จัดการความเป็นส่วนตัว
คุกกี้ที่มีความจำเป็น
(Strictly Necessary Cookies) เปิดใช้งานตลอด

คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ สวรส เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ สวรส. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้