ข่าว/ความเคลื่อนไหว
ผศ.ดร.จรวยพร ศรีศศลักษณ์ รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมประชุมจากทุกภาคส่วน และกล่าวว่า การประชุมในวันนี้เป็นส่วนหนึ่งของ "โครงการวิจัยการพัฒนากลไกเสริมศักยภาพอสม.ในการจัดการสุขภาพชุมชน" ซึ่ง สวรส. สนับสนุนภายใต้แนวทางการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์จริง (Implementation Research) โดยเป็นการต่อยอดจากงานวิจัย ระยะที่ 1 ที่ศึกษาพบว่าศักยภาพและการมีส่วนร่วมของ อสม. ลดลงหลังการถ่ายโอน รพ.สต.
ดังนั้น ระยะที่ 2 นี้จึงเน้นศึกษาเชิงลึกใน 4 จังหวัดภาคอีสานที่ถ่ายโอน รพ.สต. 100% ได้แก่ ขอนแก่น ร้อยเอ็ด หนองบัวลำภู และมุกดาหาร เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์หลัก 4 ด้านคือ
1.ทบทวนสถานการณ์และศักยภาพ อสม.หลังการถ่ายโอน
2.ศึกษาความพร้อมของกระทรวงสาธารณสุขในการสนับสนุน อสม.
3.ประเมินผลลัพธ์การพัฒนา (ก่อน–หลัง) ทั้งด้านความรู้ พฤติกรรม และค่าชี้วัดสุขภาพ เช่น BMI น้ำตาล ความดัน
4.สังเคราะห์ข้อเสนอเชิงนโยบายต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ผศ.ดร.จรวยพรได้กล่าวขอบคุณทุกหน่วยงานที่ร่วมมือ โดยเฉพาะกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กรมควบคุมโรค กรมอนามัย สปสช. และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น พร้อมเน้นว่า หน่วยงานท้องถิ่นและระดับพื้นที่มีบทบาทสำคัญไม่แพ้ส่วนกลาง เพราะเป็นผู้ปฏิบัติจริงในระบบสุขภาพ และยังกล่าวถึงแนวคิด “Mentor Hub” ที่ให้สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ (สสอ.) ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงทางวิชาการแก่ อบจ. และ อสม. หลังการถ่ายโอน เพื่อให้การพัฒนาเกิดความต่อเนื่อง รวมถึงเสนอแนวทาง "เขียว–เหลือง–แดง" ในการพิจารณานำข้อเสนอเชิงนโยบายไปใช้จริง ตามระดับความพร้อมของหน่วยงาน โดยเน้นว่า สวรส. ต้องการให้งานวิจัยนำไปใช้ประโยชน์จริง โดยนอกจากรายงานฉบับสมบูรณ์แล้ว ยังได้จัดทำ “คู่มือปฏิบัติ” สำหรับใช้ในระดับพื้นที่ ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ของสวรส. และเป็นเอกสารที่ผู้ปฏิบัติงานใช้ได้จริงมากกว่ารายงานวิจัย
สุดท้าย ผศ.ดร.จรวยพร กล่าวเปิดการประชุมอย่างเป็นทางการ พร้อมเชิญผู้แทนจากพื้นที่และผู้ทรงคุณวุฒิทุกภาคส่วนร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อร่วมกันยกระดับ “อสม.ไทยสู่โค้ชสุขภาพมืออาชีพ” ที่ช่วยให้คนไทยมีสุขภาพดีขึ้นอย่างยั่งยืน
ด้าน ผศ.ดร.ฉวีวรรณ ศรีดาวเรือง หัวหน้าโครงการวิจัย เปิดเผยว่า งานวิจัยนี้เกิดขึ้นภายใต้โครงการ “Driving the Utilization of Research Outcomes” ของสวรส. ปีงบประมาณ 2568 มีเป้าหมายเพื่อสร้าง Integrated Support System for VHVs หรือ “ระบบสนับสนุนอสม.ครบวงจร” เพื่อให้ อสม. ก้าวสู่บทบาท “โค้ชสุขภาพชุมชนมืออาชีพ (Professional Community Health Coach)”
ผลการศึกษาพบว่า หลังการถ่ายโอน รพ.สต. ไปสังกัด อบจ. ศักยภาพและการมีส่วนร่วมของ อสม. ลดลงในหลายมิติ ทั้งด้านงบประมาณ การนิเทศงาน และข้อมูลสุขภาพที่ไม่เชื่อมโยงกันระหว่าง สธ.–อบจ. ทีมวิจัยจึงได้ออกแบบ VCITE Model (Volunteer–Collaboration–Integration–Technology–Empowerment) เพื่อเป็นกรอบพัฒนาใหม่ โดยใช้พื้นที่นำร่อง 4 จังหวัด ได้แก่ ขอนแก่น ร้อยเอ็ด หนองบัวลำภู และมุกดาหาร
การพัฒนา “อสม.ห่างไกลโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs)” ผ่านหลักสูตร VCITE Model ทำให้คะแนนความรู้เพิ่มจาก 67.4 เป็น 84.6 คะแนน ดัชนีสุขภาพประชาชนดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ น้ำตาลในเลือดเฉลี่ยลดลงจาก 108.7 เป็น 96.4 mg/dL และ BMI ลดลงจาก 27.3 เป็น 25.8 kg/m² แสดงให้เห็นว่า “อสม.ในบทบาทโค้ชสุขภาพ” มีศักยภาพลดความเสี่ยงโรคเรื้อรังในระดับครัวเรือนจริง
ทีมวิจัยเสนอ “5 กลไกเร่งด่วน” เพื่อยกระดับระบบสนับสนุน อสม. ได้แก่
One-Dashboard กลาง เชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพทุกระดับด้วยมาตรฐาน PDPA เดียวกัน
District Mentor Hub ให้ สสอ. เป็นศูนย์พี่เลี้ยง (Coaching–Monitoring–Learning)
Micro-Credential & Re-certification หลักสูตรฐานสมรรถนะ ต่ออายุทุก 12 เดือน
OSM-Capacity Fund ตั้งงบถาวรพัฒนาศักยภาพ อสม. เชื่อมโยงกับผลลัพธ์ผ่าน Dashboard
ระบบแรงจูงใจ P4P จ่ายผลตอบแทนตามคุณภาพงาน เช่น การคัดกรองและติดตามกลุ่มเสี่ยงครบถ้วน
หลังจากที่ ผศ.ดร. ฉวีวรรณ ศรีดาวเรือง ได้นำเสนอโครงการวิจัย ได้เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อสังเคราะห์ข้อเสนอเชิงนโนบาย จากผู้ทรงคุณวุฒิและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเกี่ยวกับการพัฒนากลไกส่งเสริม สนับสนุนศักยภาพอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการจัดการสุขภาพชุมชนบริบทหลังถ่ายโอนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด
นพ.โกเมนทร์ ทิวทอง รองผู้อำนวยการกองสนับสนุนระบบสุขภาพปฐมภูมิ ได้ย้ำในเรื่องของการถ่ายโอน ภารกิจ รพ.สต. เพื่อยกระดับบริการสุขภาพปฐมภูมิให้ดีขึ้น อะไรที่เป็นภารกิจเดิมของ รพ.สต. จึงต้องยังคงอยู่ ส่วนในเรื่องของ อสม. คือ "นวัตกรรมที่ดี" ที่ทั่วโลกยกย่อง และควรได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แม้รูปแบบและฟังก์ชันอาจเปลี่ยนแปลงไปในอนาคตก็ตาม และมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยมีเป้าหมายคือการดูแลกลุ่มเสี่ยงให้คงสถานะอยู่และลดความรุนแรงของโรค ซึ่ง อสม. จะถูกกำหนดบทบาทให้เป็น "ผู้ช่วยผู้ปฏิบัติงานแก่บุคลากรสาธารณสุข" นอกจากนี้ นพ.โกเมนทร์ ได้เสนอแนวคิดให้กรมฯ ผลักดัน ตจบ. (ตำบลจัดการสุขภาพตนเอง) และยกระดับ อสม. ให้เป็น Health Post ที่สามารถทำหน้าที่คัดกรองเบื้องต้นได้ (Screening Function) พร้อมทั้งใช้กลไก "เมนทอร์" (Mentor) ในระดับพื้นที่ เช่น สสอ. เพื่อพัฒนา อสม. อย่างเข้มแข็ง
ด้าน ดร.นายแพทย์สุรเดชช ชวะเดช นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดร้อยเอ็ด มองเห็นความท้าทายเรื่อง KPI หลังการถ่ายโอน รพ.สต. เป็นโอกาสให้เกิดการพัฒนาการทำงานร่วมกัน โดยชี้ว่า อสม. มีศักยภาพสูง ในการช่วยคัดกรองสุขภาพเบื้องต้น. จังหวัดร้อยเอ็ดจึงสร้างสรรค์แนวทางใหม่ โดยการคัดเลือก 25 KPI ปฐมภูมิ ที่อิงจากหลัก สิทธิพื้นฐานด้านสุขภาพตามรัฐธรรมนูญ เพื่อใช้เป็นสะพานเชื่อมการทำงานระหว่าง สสจ. และ อบจ. อย่างเท่าเทียม พร้อมเสนอให้มีการพัฒนา Provincial One Dashboard ร่วมกัน และกำหนดกลไก "เมนทอร์" รวมถึงงบประมาณ OSM Capacity Fund ที่ชัดเจนและยั่งยืน เพื่อยกระดับศักยภาพ อสม. ในการจัดการปัญหาสุขภาพในพื้นที่ได้อย่างแท้จริง
การประชุมช่วงบ่ายยังคงเป็นการดำเนินการต่อเนื่องของ "เวทีรับฟังความคิดเห็นแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อสังเคราะห์ข้อเสนอเชิงนโยบาย" เกี่ยวกับการพัฒนากลไกส่งเสริมและสนับสนุนศักยภาพ อสม. (อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน) ในการจัดการสุขภาพชุมชน หลังการถ่ายโอน รพ.สต. (โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล) ไปสังกัด อบจ. (องค์การบริหารส่วนจังหวัด) ซึ่งได้มีข้อเสนอแนะในหลากหลายประเด็น ทั้งในเรื่องกฏระเบียบ อสม. อำนาจหน้าที่ หน่วยงานในการขับเคลื่อนด้านมิติสุขภาพ ข้อจำกัดในเรื่อง บุคลากร งบประมาณ เป็นต้น โดยข้อมูลจากการแลกเปลี่ยนจะถูกนำไปปรับใช้ในข้อมูลศึกษาในงานวิจัยฯ เพื่อขับเคลื่อนไปสู่การใช้ประโยชน์ด้านนโยบาย โดยเป้าหมายสำคัญคือการดูแลสุขภาพประชาชน
คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น
คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ สวรส เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ สวรส. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้