4th Floor, National Health Building 88/39 Tiwanon 14 Road Taradkwan, Muang District Nonthaburi 11000
Font Size
-
+
color contrast
C
C
C
Search
เมนู

วิจัยสะท้อน ‘ปัจจัยสังคม’ เข็มชี้ทิศสุขภาพ ‘จน-รวย’ กำหนดสิทธิ?? พฤติกรรม-บริการสุขภาพ มิติที่ยังเหลื่อมล้ำ หวังขับเคลื่อนความเป็นธรรมทางสุขภาพ-การพัฒนาที่ยั่งยืน

          ร่างกายและสุขภาพของเรา ไม่ใช่แค่เราที่เป็นผู้กำหนด มากไปกว่านั้น ยังมีปัจจัยทางสังคมที่เป็นตัวกำหนดหรือมีผลต่อสุขภาพของเราทุกคน จากคำนิยามขององค์การอนามัยโลก (WHO) ปัจจัยสังคมกำหนดสุขภาพ หมายถึง สภาพแวดล้อมที่บุคคลเกิด เติบโต ทำงาน ดำรงชีวิต ไปจนถึงระบบ ซึ่งกำหนดเงื่อนไขในชีวิตประจำวัน อาทิ นโยบายและระบบเศรษฐกิจ วาระการพัฒนาประเทศ บรรทัดฐานทางสังคม นโยบายสังคมและระบบการเมือง เป็นต้น ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเสี่ยงโรคต่างๆ การรักษาพยาบาล และความเป็นอยู่ที่ดีในชีวิตแต่ละวัน นอกจากนั้น สุขภาพและคุณภาพชีวิตยังเป็นทั้งผลลัพธ์และตัวชี้วัดของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Developments Goals: SDGs) ซึ่งหลักการสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืนคือ การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และเน้นการพัฒนาที่ครอบคลุมประชากรทุกคนทุกชนชั้น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทางด้านสุขภาพกับคนทุกกลุ่มในสังคม  

          ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีการติดตามปัจจัยสังคมกำหนดความเป็นธรรมทางสุขภาพอย่างเป็นระบบ ซึ่งการติดตามในเรื่องดังกล่าว จะช่วยระบุสถานการณ์ความไม่ธรรมทางสุขภาพที่ทำให้เห็นถึงข้อมูลปัจจัยที่แตกต่างในแต่ละกลุ่มประชากร เช่น รายได้ การศึกษา อาชีพ เพศ เป็นต้น โดยหน่วยงานต่างๆ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาระบบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และการจัดทำรายงานปัจจัยสังคมกำหนดความเป็นธรรมทางสุขภาพจะช่วยให้ผู้กำหนดนโยบายและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสามารถนำไปวางแผนและแก้ไขปัญหาความไม่เป็นธรรมทางสุขภาพได้ตรงจุดและตรงกับกลุ่มเป้าหมาย สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) จึงสนับสนุนทุนวิจัยให้กับมูลนิธิเพื่อการพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP) ศึกษาและพัฒนารายงานปัจจัยสังคมกำหนดความเป็นธรรมทางสุขภาพของประเทศไทย ในมิติพฤติกรรมสุขภาพและการบริการสุขภาพ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำรายงานสถานการณ์ปัจจัยสังคมกำหนดความเป็นธรรมทางสุขภาพที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย โดยเน้นไปที่ตัวชี้วัดที่กำหนดในการดำเนินการนโยบายในประเด็นที่เกี่ยวข้องของประเทศไทย และมีฐานข้อมูลรองรับ เพื่อให้เกิดระบบการติดตามปัจจัยสังคมกำหนดความเป็นธรรมทางสุขภาพที่มีประสิทธิภาพ และนำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำในเชิงผลลัพธ์ทางสุขภาพของคนไทย ตลอดจนพัฒนาข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อลดความไม่เป็นธรรมทางสุขภาพ และพัฒนาฐานข้อมูลตัวชี้วัดปัจจัยสังคมกำหนดความเป็นธรรมทางสุขภาพของประเทศไทย โดยได้มีการนำเสนอผลการศึกษาเบื้องต้น ในข้อมูลของสถานการณ์ปัจจัยสังคมกำหนดความเป็นธรรมทางสุขภาพของประเทศไทย ในมิติพฤติกรรมสุขภาพและบริการสุขภาพ และรับฟังความคิดเห็น/ข้อเสนอแนะจากผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมควบคุมโรค กรมอนามัย กรมการแพทย์ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กองเศรษฐกิจสุขภาพและหลักประกันสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสถิติแห่งชาติ สำนักงานประกันสังคม กรมบัญชีกลาง สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา ศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย เครือข่ายองค์กรงดเหล้า เครือข่ายลดบริโภคเค็ม เครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน สมาคมเครือข่ายโรคไม่ติดต่อไทย เครือข่ายคนไทยไร้พุง สมาคมนักกำหนดอาหาร สมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทย มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค เป็นต้น เมื่อวันที่ 3 พ.ย. 2568 ณ โรงแรมแกรนด์ริชมอนด์ จ.นนทบุรี 

          ดร.จินตนา จันทร์โคตรแก้ว มูลนิธิเพื่อการพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ (IHPP) หัวหน้าโครงการวิจัย และทีมวิจัย นำเสนอสาระสำคัญจากผลการวิจัยเบื้องต้นว่า กรอบแนวคิดในการติดตามปัจจัยสังคมกำหนดสุขภาพเพื่อความเป็นธรรมสุขภาพ มีตัวชี้วัดที่เป็นปัจจัยสังคมกำหนดสุขภาพ 6 ประเด็น 1) สภาพแวดล้อมในการทำงาน รายได้ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความเหลื่อมล้ำ 2) การศึกษา 3) สภาพแวดล้อมทางกายภาพ 4) บริบททางสังคมและชุมชน 5) พฤติกรรมสุขภาพ 6) การบริการสุขภาพ แต่ตัวชี้วัดที่มีความพร้อมด้านข้อมูลคือ มิติพฤติกรรมสุขภาพและบริการสุขภาพ ดังนั้นงานวิจัยฯ จึงมีกรอบแนวคิดในการศึกษาที่เป็นปัจจัยโครงสร้างและปัจจัยตัวกลางกำหนดความเป็นธรรมทางสุขภาพที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ทางสุขภาพ ได้แก่ บริบททางเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง เช่น นโยบายรัฐ ธรรมาภิบาล วัฒนธรรม/ความเชื่อ เศรษฐฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม เช่น เพศ อายุ การศึกษา อาชีพ รายได้ ฐานะทางสังคม ที่อยู่อาศัย ภาวะแวดล้อมของที่อยู่อาศัย การทำงาน การเข้าถึงอาหาร พฤติกรรมสุขภาพ เช่น การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ อาหาร กิจกรรมทางกาย การเข้าถึงบริการสุขภาพ เป็นต้น และได้มีการทบทวนตัวชี้วัดเพิ่มเติมจากนโยบายที่เกี่ยวข้อง อาทิ แผนปฏิบัติการด้านการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อของประเทศไทย แผนปฏิบัติการด้านควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระดับชาติ แผนแม่บทการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย แผนปฏิบัติการด้านการควบคุมยาสูบแห่งชาติ แผนปฏิบัติการด้านการจัดการด้านอาหารของประเทศไทย ยุทธศาสตร์การลดการบริโภคเกลือและโซเดียมในประเทศไทย รายงานการสำรวจด้านสุขภาพของสำนักงานสถิติแห่งชาติ เป็นต้น

          ทั้งนี้ผลการศึกษาเบื้องต้นพบว่า ความเป็นธรรมทางการเงินของระบบสุขภาพไทยเริ่มถดถอย คนจนจ่ายมากกว่าคนรวย ภาระรายจ่ายสุขภาพที่ทำให้ครัวเรือนล้มละลาย และความยากจนจากรายจ่ายสุขภาพ พบว่า ภาคใต้ ภาคเหนือ และภาคอีสานเป็นภูมิภาคที่มีความเสี่ยงด้านรายจ่ายสุขภาพสูงที่สุด ครัวเรือนในพื้นที่นอกเขตเทศบาลมีความเสี่ยงทางการเงินจากรายจ่ายสุขภาพสูงกว่า กลุ่มรายได้ต่ำมีความเปราะบางต่อรายจ่ายสุขภาพที่เกินขีดจำกัด ขณะที่กลุ่มรายได้สูงกลับมีอัตราความยากจนจากรายจ่ายสุขภาพสูงกว่า ระบบหลักประกันสุขภาพของรัฐ (บัตรทองและประกันสังคม) สามารถลดภาระรายจ่ายสุขภาพที่เกินขีดจำกัดได้อย่างชัดเจน แต่ช่องว่างด้านความยากจนจากรายจ่ายสุขภาพ ยังคงมีในกลุ่มสิทธิบัตรทองและผู้ไม่มีสิทธิ กลุ่มที่มีการศึกษาสูงมีภาระรายจ่ายสุขภาพสูง แต่ไม่ยากจน ขณะที่กลุ่มการศึกษาต่ำ ยังคงมีภาระและความยากจนจากรายจ่ายสุขภาพสูง ซึ่งข้อสังเกตสำคัญคือ ภาระรายจ่ายสุขภาพโดยรวมอยู่ในระดับต่ำ แต่ยังมีความเหลื่อมล้ำระหว่างภูมิภาค พื้นที่ และเศรษฐฐานะชัดเจน กลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ผู้ไม่มีสิทธิและอยู่ในพื้นที่ชนบท ยังมีความเสี่ยงทางการเงินสูง ดังนั้นอาจจำเป็นต้องเสริมกลไกการคุ้มครองทางการเงินและการเข้าถึงบริการให้ครอบคลุมมากขึ้น ด้านความจำเป็นทางสุขภาพที่ไม่ได้รับการตอบสนอง ในเขตเทศบาลมีสัดส่วนผู้ที่ไม่ได้รับบริการเมื่อมีความต้องการสูงกว่านอกเขต สะท้อนปัญหาความหนาแน่นของบริการและเวลาการรอคอยในพื้นที่เขตเมือง ส่วนในกลุ่มบัตรทองและประกันสังคม เหตุผลหลักของการไม่ได้รับบริการคือ ไม่มีเวลา และคิวยาว/รอนาน ขณะที่กลุ่มรายได้น้อยและไม่มีสิทธิ พบปัญหาการเดินทางและค่าใช้จ่าย สะท้อนความเหลื่อมล้ำทั้งด้านบริการและโอกาสการเข้าถึง ด้านข้อเสนอเชิงนโยบาย ควรติดตามความเหลื่อมล้ำรายกลุ่ม เช่น กลุ่มความเปราะบาง ควรเร่งลดค่าใช้จ่ายสุขภาพที่ไม่จำเป็น และใช้กลไกช่วยเหลือเฉพาะกลุ่ม เช่น สนับสนุนค่าเดินทางหรือค่ารักษาโรคร้ายแรงสำหรับกลุ่มเปราะบาง ควรนำเทคโนโลยี Telemedicine และ AI มาช่วยดูแลประชาชนเขตเมือง เพื่อลดเวลาเดินทาง ลดภาระของระบบสุขภาพและบุคลากรทางการแพทย์

          ด้านมิติพฤติกรรมสุขภาพ พบว่า การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เพศชายยังเป็นกลุ่มที่มีการดื่มสูงกว่าเพศหญิงอย่างมาก กลุ่มวัยทำงาน (25-44 ปี) เป็นช่วงวัยที่มีอัตราการดื่มสูงสุดอย่างต่อเนื่อง กลุ่มที่มีการศึกษาสูง มัธยมปลาย-ปริญญาตรีขึ้นไป มีการดื่มสูงกว่ากลุ่มที่มีการศึกษาต่ำ กลุ่มอาชีพช่างเทคนิคและผู้ใช้แรงงาน มีอัตราการดื่มสูง ด้านพื้นที่พบว่า ภาคเหนือและภาคอีสาน มีอัตราการดื่มสูงอย่างต่อเนื่อง (มากกว่า 40%) ขณะที่ภาคใต้ต่ำสุด (ต่ำกว่า 20%) และ 5 จังหวัดที่มีอัตราการดื่มสูง ได้แก่ ขอนแก่น ลำปาง มหาสารคาม เชียงราย และพะเยา 

          ด้านการบริโภคยาสูบ มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง จาก 21.2% ในปี 2550 เหลือ 16.5% ในปี 2567 เพศชายเป็นกลุ่มหลักของผู้สูบ แต่มีอัตราลดลงจาก 41.7% เหลือ 33.5% กลุ่มวัยทำงาน (25-59 ปี) โดยเฉพาะผู้ชายวัยแรงงาน เป็นกลุ่มที่สูบสูงสุด กลุ่มอาชีพช่างเทคนิคและผู้ใช้แรงงาน มีผู้สูบมากกว่าอาชีพอื่น กลุ่มที่มีการศึกษาต่ำและฐานะยากจน สูบมากกว่ากลุ่มที่มีฐานะสูงกว่า พื้นที่ภาคใต้ มีอัตราสูบสูงสุด 22.1% ขณะที่ภาคเหนือและภาคกลางมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง และ 5 จังหวัดที่สูบสูงสุด ได้แก่ กระบี่ ตาก นครศรีธรรมราช ระนอง และพัทลุง

          การบริโภคอาหารหวาน กลุ่มวัยทำงาน (25-44 ปี และ 45-59 ปี) มีพฤติกรรมบริโภคอาหารหวานสูงที่สุดอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2548-2564 โดยเพศชายบริโภคอาหารหวานมากกว่าเพศหญิงในบางช่วงอายุ กลุ่มที่มีระดับการศึกษาสูง มีแนวโน้มของพฤติกรรมบริโภคอาหารหวานสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มปริญญาตรีหรือสูงกว่า พื้นที่ กทม. และภาคใต้ เป็นเขตที่มีพฤติกรรมการบริโภคอาหารหวานสูงสุด ด้านการบริโภคอาหารไขมันสูง กลุ่มผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) มีพฤติกรรมเสี่ยงต่ำที่สุดในการบริโภคอาหารไขมันสูง กลุ่มที่มีการศึกษาตั้งแต่มัธยมศึกษาขึ้นไป มีแนวโน้มบริโภคอาหารไขมันสูงมากกว่า  

          การบริโภคอาหารโซเดียมสูง กลุ่มอายุ 15-19 ปี มีพฤติกรรมการบริโภคอาหารโซเดียมสูงที่สูงกว่ากลุ่มอื่น ระดับการศึกษาสูง มีแนวโน้มพฤติกรรมการบริโภคโซเดียมสูงที่ลดลง กลุ่มผู้ใช้แรงงาน มีพฤติกรรมการบริโภคโซเดียมสูงที่สูงกว่ากลุ่มอื่น กลุ่มที่อาศัยนอกเขตเทศบาลมีพฤติกรรมการบริโภคโซเดียมสูงที่สูงกว่ากลุ่มที่อาศัยอยู่ในเขตเทศบาล คนอีสานมีพฤติกรรมการบริโภคโซเดียมสูงมากกว่าภาคอื่น ด้านการบริโภคผักและผลไม้ไม่เพียงพอ 1 ใน 2 ของกลุ่มอายุ 15-19 ปี มีพฤติกรรมบริโภคผักและผลไม้ไม่เพียงพอสูงกว่ากลุ่มอื่น คนอีสานมีพฤติกรรมบริโภคผักและผลไม้ไม่เพียงพอที่สูงกว่าภาคอื่น ด้านกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ 1 ใน 2 ของกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป มีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ สูงกว่ากลุ่มอื่น กลุ่มที่ไม่ได้รับการศึกษาหรือมีการศึกษาก่อนประถมศึกษา มีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ มากกว่าระดับการศึกษาอื่น 1 ใน 2 ของกลุ่มคนว่างงาน มีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอมากกว่ากลุ่มอาชีพอื่น และ 5 จังหวัดที่มีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอสูงสุด ปี 2564 ได้แก่ บึงกาฬ ร้อยเอ็ด สมุทรสาคร สมุทรสงคราม บุรีรัมย์

          โรคอ้วน 1 ใน 5 ของคนไทยอายุ 20 ปีขึ้นไป เป็นโรคอ้วน โรคอ้วนพบได้ในทุกอาชีพ และพบมากในกลุ่มข้าราชการและผู้ประกอบวิชาชีพ และพบสูงสุดในภาคกลางและกรุงเทพฯ ขณะที่เพศชายพบสูงกว่าเพศหญิงในพื้นที่เขตเมือง โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) โดยเฉพาะความดันโลหิตสูงและเบาหวาน ยังเป็นภาระหลักของระบบสุขภาพไทย ความชุกของโรคเพิ่มขึ้นตามอายุ โดยเฉพาะกลุ่มอายุ 45 ปีขึ้นไป มีแนวเพิ่มเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจในกลุ่มรายได้น้อยและการศึกษาต่ำมีความชุกสูงกว่า เพศหญิงมีแนวโน้มโรคความดันโลหิตสูงที่สูงกว่า ส่วนเพศชายพบโรคเบาหวานมากกว่า ภาคเหนือและอีสานมีความชุกสูง ขณะที่ภาคใต้มีความชุกต่ำ ด้านข้อเสนอเชิงนโยบายในมิติพฤติกรรมสุขภาพ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ ต้องอาศัยนโยบายระดับประเทศและการบังคับใช้ที่มีประสิทธิภาพ เช่น มาตรการภาษีควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาสูบ การลดการเข้าถึงครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบในวัยทำงาน เยาวชนชาย เป็นต้น รัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรออกมาตรการที่เจาะจงในกลุ่มเปราะบางมากขึ้น ควรออกแบบมาตรการเพื่อสร้างการรับรู้และเข้าถึงบริการที่เพียงพอ และเกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

          ทพ.จเร วิชาไทย ผู้จัดการงานวิจัย สวรส. กล่าวว่า การสร้างความเป็นธรรมทางสุขภาพ (Health Equity) ในประเทศไทย ควรมองต่อยอดจากมิติของการรักษาพยาบาลไปให้ถึงรากของปัญหาที่ฝังลึกอยู่ในโครงสร้างสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง รวมถึงนโยบายทางสังคมด้านอื่นๆ ด้วย เนื่องจากล้วนส่งผลต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตทั้งสิ้น นอกจากนี้ปัจจัยทางสังคมยังส่งผลต่อความเสี่ยงด้านสุขภาพในมิติต่างๆ จนทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมทางสุขภาพอย่างชัดเจน ดังนั้นการสะท้อนปัจจัยสังคมกำหนดความเป็นธรรมทางสุขภาพจากการวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าว และการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจะเป็นข้อมูลและเครื่องมือสำคัญในการกำกับติดตามและขับเคลื่อนให้เกิดความเป็นธรรมทางสุขภาพ ที่มาจากฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ ทั้งปัจจัยทางสังคมที่เกี่ยวข้องและสถานการณ์ผลลัพธ์ทางสุขภาพ ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการออกแบบนโยบายที่จะสามารถอุดช่องว่างและสร้างความเป็นธรรมทางสุขภาพได้อย่างแท้จริง 

รูปภาพเพิ่มเติม

แสดงความคิดเห็น

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เราใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา โปรดศึกษาเพิ่มเติมที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว
ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

จัดการความเป็นส่วนตัว
คุกกี้ที่มีความจำเป็น
(Strictly Necessary Cookies) เปิดใช้งานตลอด

คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ สวรส เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ สวรส. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้