ข่าว/ความเคลื่อนไหว
ทำความเข้าใจโรคจิตเภท: จาก Hardcore สู่ Personal Recovery : โรคจิตเภท (Schizophrenia) เป็นปัญหาสุขภาพจิตที่ส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อทั้งร่างกาย จิตใจ และสังคมของผู้ป่วยและครอบครัว ผู้ป่วยมักถูกตีตราและต้องเผชิญข้อจำกัดใกล้เคียงกับผู้พิการ งานวิจัยนี้ได้รับทุนสนับสนุนจาก สวรส. โดยมีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนแนวคิดจากการ "ฟื้นฟูอาการ" แบบเดิม ไปสู่ "การฟื้นคืนสู่สุขภาวะส่วนบุคคล (Personal Recovery)" ซึ่งเน้นให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการใช้ชีวิตที่มีความหมาย
วันที่ 31 ตุลาคม 2568 ณ โรงแรมไมด้า ดอนเมือง แอร์พอร์ต 2 คณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหิดล นำโดย รศ.ดร. ณัฐณีย์ มีมนต์ หัวหน้าโครงการวิจัย ได้จัดงานประชุมนำเสนอผลการศึกษาเบื้องต้นและรับฟังข้อเสนอแนะต่อโครงการวิจัยเรื่อง "การฟื้นคืนสู่สุขภาวะของผู้ที่อยู่กับโรคจิตเภท : รูปแบบการดำเนินงานแบบบูรณาการระดับพื้นที่ ความเข้าใจของผู้ปฏิบัติงานและผู้ดูแล และมุมมองของผู้ใช้บริการ" เพื่อศึกษารูปแบบการฟื้นฟูผู้ที่อยู่กับโรคจิตเภท (PWS) ใน 5 พื้นที่นำร่อง มีเป้าหมายเพื่อหาหลักฐานเชิงประจักษ์สำหรับการพัฒนานโยบายและกลไกการสนับสนุนในระดับพื้นที่และระดับประเทศ
โดยมีผู้เข้าร่วมจากหลายภาคส่วน รวมถึง ทพ.จเร วิชาไทย ผู้จัดการงานวิจัย จากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ที่กล่าวต้อนรับและเปิดการประชุม และกล่าวย้ำถึงความสำคัญของงานวิจัยสุขภาพจิตที่ต้องอาศัยความใส่ใจและเข้าใจ โดยตั้งคำถามสำคัญว่า เงินลงทุนวิจัยไปแล้ว ผู้ป่วย ครอบครัว และสังคม "ดีขึ้นไหม" และได้รับประโยชน์อะไร? โดยหวังให้ผลลัพธ์จากงานวิจัยนี้เป็นคำตอบ และเป็น "ตัวแบบ" เพื่อนำไปต่อยอดและพัฒนาให้ดีขึ้นในพื้นที่อื่นๆ
ศ.ดร. ณัฐณีย์ ได้ยกเสียงสะท้อนจากพื้นที่ในด้านของ ปัญหา อย่าง ระบบ งบประมาณ บุคคลากรไม่เพียงพอ ยังขาดการยอมรับและการสนับสนุนในเรื่องนี้จากหน่วยงานส่วนกลาง และนโยบายภาครัฐเองก็ตาม และได้ให้ความเห็นถึง "ข้อค้นพบ" จากงานวิจัยมากกว่าวัตถุประสงค์ เนื่องจากทีมวิจัยมีโอกาสลงพื้นที่จำกัด จึงต้องการใช้เวทีนี้เป็นช่องทางให้ "สื่อเสียงจากคนปฏิบัติงานจริง" ใน 5 พื้นที่ศึกษา (นนทบุรี, สุโขทัย, จันทบุรี, พังงา, เลย) ได้สะท้อนการทำงานของเครือข่ายตนเองอย่างครบถ้วน เพื่อให้ได้ภาพที่ชัดเจนที่สุด โดย วัตถุประสงค์การศึกษา มี 3 ระดับ 1. System Level (ดูสถานการณ์และเครือข่าย), 2. Caregiver Level (ดูมุมมอง/ประสบการณ์ของบุคลากรและผู้ดูแลต่อ Recovery), และ 3. Service User Level (ดูเส้นทาง Recovery ของผู้ที่อยู่กับโรคจิตเภท) นอกจากนี้ ศ.ดร. ณัฐณีย์ ยังได้นำเสนอประเด็นนัยสำคัญของการฟื้นคืนสู่สุขภาวะในบริบทไทย ซึ่งการฟื้นคืนของผู้ป่วยจิตเภทในไทยขับเคลื่อนด้วย "ความสัมพันธ์-ครอบครัว-ศาสนา" เป็นหลัก มากกว่าพึ่งพาระบบบริการ รูปแบบที่เด่นชัดคือ Relationship-based & family-anchored recovery โดยผู้ดูแลส่วนใหญ่มีความหวังเพียงแค่ให้ผู้ป่วย "อยู่ได้ ไม่สร้างปัญหา" แม้ว่าผู้ดูแลและนักวิชาชีพจะมีความเข้าใจในมิติสังคมและวัฒนธรรมที่สอดคล้องกัน แต่ยังมีความเห็นต่างในมิติการเสริมพลังอำนาจและการขับเคลื่อนตนเองของผู้ป่วย และได้นำเสนอ กรอบแนวคิดที่ใช้ : SAMHSA (วิเคราะห์แนวปฏิบัติของระบบบริการ) และ CHIME (วิเคราะห์ประสบการณ์การฟื้นฟูตนเองของผู้ป่วย)
และได้มีการถ่ายทอดข้อมูลจากเสียงสะท้อนของบุคลากรในแต่ละพื้นที่ของการวิจัย โดยมีประเด็นเรื่องของการดำเนินงานในทุกพื้นที่เน้นการบูรณาการเครือข่ายหลายภาคส่วน (สาธารณสุข, ท้องถิ่น, ภาคประชาชน) เพื่อฟื้นฟูต่อเนื่อง และให้ผู้ป่วยอยู่ร่วมชุมชนได้ แต่ปัญหาหลัก คือ ความเหนื่อยล้าจากภาระงานสูง (ต้องดูแลผู้ป่วยจิตเวชพ่วงยาเสพติด) ขาดงบประมาณที่ยั่งยืน และความซับซ้อนของเอกสารราชการ แนวทางแก้ไข คือการใช้ แนวคิด CBR (ใช้ชุมชนเป็นฐาน), ตั้งชุดปฏิบัติการฉุกเฉิน 3 ฝ่าย และเน้นกลไก ศาสนา/ความสัมพันธ์ ในการลดความหวาดกลัวและการตีตรา โดยผลการศึกษาและเสียงสะท้อนจากพื้นที่เรียกร้องให้รัฐต้อง "มองเห็นคุณค่าของงานที่เกิดจากความพยายามจริง" โดยมีข้อเสนอแนะ 3 แกนหลักในการพัฒนาระบบ: เสริมพลังครอบครัวและชุมชน ให้เป็นฐานของ Recovery System ,เชื่อมวัฒนธรรมและศาสนาเข้ากับกระบวนการฟื้นฟูอย่างเป็นระบบ และการสร้างพื้นที่เสียงของผู้ป่วย (Service-user voice) เพื่อขยับจากการ "อยู่ได้" สู่ "อยู่ดี อย่างมีศักดิ์ศรี" ของผู้ป่วยจิตเภทให้กลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างยั่งยืน
ทพ. จเร วิชาไทย (ผู้จัดการงานวิจัย สวรส.) กล่าวสรุปปิดท้ายว่า การพัฒนาระบบต้องออกแบบจากฐานราก ร่วมกับคนทำงานในพื้นที่ โดยเน้นให้นโยบายระดับประเทศสร้างความยืดหยุ่นและมอบผลลัพธ์ที่ต้องการโดยไม่ต้องกำหนดวิธีการทำงานที่ซับซ้อน เพื่อให้งานยั่งยืน
คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น
คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ สวรส เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ สวรส. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้