ข่าว/ความเคลื่อนไหว
ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ นับวันยิ่งเป็นปัญหาที่มีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะมลพิษทางอากาศที่กำลังส่งผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพของมนุษย์ และกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับต้นๆ ต่อการเสียชีวิตของประชากรทั่วโลก จากรายงานของ Health Effects Institute (HEI) พบว่า ในปี 2564 มลพิษทางอากาศเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของผู้คนถึง 8.1 ล้านคนทั่วโลก และอีกหลายล้านคนต้องเผชิญกับโรคเรื้อรัง ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อระบบสาธารณสุข เศรษฐกิจ และสังคม ดังนั้นสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) จึงให้ความสำคัญกับประเด็นดังกล่าว และมีการศึกษาวิจัยในพื้นที่ที่อาจเกิดผลกระทบ เพื่อพัฒนาระบบเฝ้าระวังระวังตั้งแต่เนิ่นๆ ที่เป็นเหมือน early warning sign โดยใช้ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์เป็นตัวบ่งชี้และหลักฐานเชิงประจักษ์ที่แสดงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยที่ผ่านมา สวรส. ได้มีการพัฒนาระบบเฝ้าระวังผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชนในพื้นที่ จ.น่าน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เกิดมลพิษข้ามพรมแดนจากโรงไฟฟ้าถ่านหินหงสา ประเทศลาว และจากองค์ความรู้ที่ได้จากการวิจัย กรณีโรงไฟฟ้าถ่านหิน นำไปสู่การขยายผลและศึกษาวิจัยเรื่องการเฝ้าระวังผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชน กรณีศึกษาการประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคำของบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) โดย สวรส. และทีมวิจัยได้จัดประชุมรับฟังข้อเสนอแนะต่อผลการวิจัยฯ กรณีเหมืองแร่ทองคำฯ จากผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมควบคุมโรค กรมอนามัย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข สภาการเหมืองแร่ กรมโรงงานอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมมลพิษ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล โครงการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่ฯ จ.พิษณุโลก เป็นต้น เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 2568 ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กทม.
นพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา ประธานคณะผู้ทรงคุณวุฒิกำกับทิศโครงการวิจัยฯ กล่าวว่า การพัฒนาระบบเฝ้าระวังผลกระทบทางสุขภาพ เป็นเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วน ทั้งภาคประชาชน ท้องถิ่น ภาควิชาการ และผู้ประกอบการ ดังนั้นจึงต้องอาศัยการผนึกพลังของทุกภาคส่วนในการร่วมกันพัฒนาเชิงระบบ และเฝ้าระวังปัญหาที่อาจเกิดผลกระทบขึ้นในอนาคต โดยใช้แนวทางของวิทยาศาสตร์ภาคพลเมืองเป็นความรู้สำคัญ เพื่อให้เกิดการสร้างระบบเฝ้าระวังที่เน้นการมีส่วนร่วมและการยอมรับจากทุกฝ่าย ซึ่งงานวิจัยทำให้เห็นถึงความกระตือรือร้นของคนในชุมชน โดยเฉพาะคุณครูที่มีความสนใจและตั้งใจเรียนรู้ในหลักการทางด้านวิทยาศาสตร์เพื่อการเฝ้าระวังผลกระทบทางสุขภาพ ทั้งนี้งานวิจัยเป็นการคัดกรองความเสี่ยงเบื้องต้นที่เกิดขึ้นในพื้นที่ และนำองค์ความรู้ไปทดสอบ หากแต่หลังจากนี้ยังต้องมีการศึกษาและเก็บข้อมูลทางด้านวิทยาศาสตร์ที่มีความละเอียดมากขึ้น โดยประสานกับผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ เพื่อให้การกำหนดตัวชี้วัดหรือเครื่องมือที่ใช้มีความน่าเชื่อถือและถูกต้อง ตลอดจนสามารถพัฒนาไปสู่การเฝ้าระวังผลกระทบทางสุขภาพของภาคประชาชน และสามารถขยายผลไปใช้ประโยชน์ในพื้นอื่นๆ ต่อไป โดยการให้ความเห็นในวันนี้เป็นเหมือนการเรียนรู้แบบสหสาขา ซึ่งทุกคนเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการช่วยเติมข้อมูลความรู้เพื่อพัฒนาให้ระบบเฝ้าระวังผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชนมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
น.ส.สมพร เพ็งค่ำ มูลนิธิเครือข่ายพัฒนาศักยภาพผู้นำการสร้างสุขภาวะ (ม.คศน.) หัวหน้าชุดโครงการวิจัยฯ สรุปความเป็นมาของกรณีเหมืองแร่ทองคำฯ และสาระสำคัญของงานวิจัยว่า บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ได้รับใบอนุญาตทำเหมืองแร่ทองคำและโรงแต่งแร่ทองคำ เมื่อปี 2543 จนเมื่อปี 2557 เริ่มมีชาวบ้านร้องเรียนเกี่ยวกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอย่างต่อเนื่องมาจนถึงมีการตรวจพบโลหะหนักในร่างกายของชาวบ้านบริเวณรอบเหมืองเกินค่ามาตรฐาน และมีการทำหนังสือร้องเรียนไปยังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง จังหวัดพิจิตรได้แต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบและแก้ไขปัญหาผลกระทบฯ แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ หัวหน้า คสช. สั่งให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงและแก้ไขปัญหา 4 ด้าน ได้แก่ สุขภาพ สิ่งแวดล้อม การรั่วซึมของบ่อกักเก็บกากแร่ที่ 1 และผลกระทบจากฝุ่นละออง แต่ไม่สามารถสรุปได้ว่า ผลกระทบต่างๆ เกิดจากการทำเหมืองทองคำของบริษัท อัคราฯ หรือไม่ เนื่องจากข้อจำกัดด้านข้อมูล ต่อมา หัวหน้า คสช. ได้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 สั่งให้ผู้ประกอบการทองคำทุกรายทั่วประเทศระงับการประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคำ และระงับการออกประทานบัตรและใบอนุญาตสำรวจแร่เป็นการชั่วคราว บริษัท คิงส์เกตฯ (บริษัทแม่) จึงยื่นหนังสือแจ้งการละเมิดความตกลงระหว่างประเทศ และยื่นฟ้องรัฐบาลไทยในเดือน พ.ย. 2560 ปัจจุบัน คณะอนุญาโตตุลาการยังไม่ได้ออกคำชี้ขาด และยังคงอยู่ในระหว่างการเจรจาแก้ไขปัญหาข้อพิพาทร่วมกัน ซึ่งยังไม่ได้ข้อยุติ
เดือนมีนาคม 2566 จ.พิจิตร เชิญหลายหน่วยงานร่วมหารือถึงการตรวจสอบการดำเนินกิจการของเหมืองทองคำอัคราก่อนเปิดดำเนินการ โดยกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เสนอว่า ควรมีหน่วยงานกลางที่ไม่เกี่ยวข้องกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเข้ามาเป็นผู้ตรวจสอบ และทำฐานข้อมูลสุขภาพและสิ่งแวดล้อมเพื่อเปรียบเทียบความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และมีความเห็นร่วมกันกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขว่าควรมีการพัฒนาระบบเฝ้าระวังผลกระทบทางสุขภาพ โดยให้ สวรส. สนับสนุนการดำเนินงานโดยนำกรอบแนวคิดและแนวทางจากโครงการพัฒนาระบบเฝ้าระวังผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชน กรณีมลพิษข้ามพรมแดนจากโรงไฟฟ้าถ่านหินหงสา ประเทศลาวมาปรับใช้
ทั้งนี้งานวิจัยเรื่อง “การเฝ้าระวังผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชน กรณีศึกษาการประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคำของบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน)” เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างกระบวนการให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันกำหนดกรอบแนวทางการเฝ้าระวังฯ สร้างนักวิทยาศาสตร์ภาคพลเมืองด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพในการร่วมกับภาคส่วนต่างๆ เฝ้าระวังผลกระทบทางสุขภาพ และออกแบบระบบฐานข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพจากการเฝ้าระวังฯ ของนักวิทยาศาสตร์ภาคพลเมือง โดยมีการดำเนินงาน 4 ขั้นตอนสำคัญ 1) การวิเคราะห์แหล่งกำเนิดและจัดทำเส้นทางมลพิษที่เชื่อมโยงกับกลุ่มเสี่ยง 2) การพัฒนาเครื่องมือสำหรับชุมชนในการเฝ้าระวังด้วยตนเอง การเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การตอบสนองต่อภาวะฉุกเฉิน การพัฒนาโปรแกรมการเรียนรู้สำหรับนักวิทยาศาสตร์ภาคพลเมืองด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ และการออกแบบระบบฐานข้อมูลรองรับการเฝ้าระวังฯโดยชุมชน 3) การอบรมนักวิทยาศาสตร์ภาคพลเมือง และ 4) ร่วมกับหน่วยงานที่รับผิดชอบในการสื่อสารความเสี่ยงและกำหนดมาตรการต่างๆ เพื่อปกป้องและคุ้มครองกลุ่มเสี่ยงฯ โดยมีผลลัพธ์ได้แก่ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเกี่ยวกับการเฝ้าระวังผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชน แผนที่เส้นทางความเชื่อมโยงจากแหล่งกำเนิดไปยังกลุ่มเสี่ยง ตัวชี้วัดด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชุดเครื่องมือการตรวจวัดสำหรับประชาชนใช้ในการเฝ้าระวัง หลักสูตรพัฒนานักวิทยาศาสตร์ภาคพลเมืองสำหรับการเฝ้าระวังผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ทองคำ และระบบการบันทึกข้อมูลและจัดเก็บเป็นฐานข้อมูลการเฝ้าระวังฯ โดยชุมชน
ด้าน ทพ.จเร วิชาไทย ผู้จัดการงานวิจัย สวรส. กล่าวว่า การเฝ้าระวังผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชน ไม่ใช่เพียงการเก็บข้อมูลสุขภาพเท่านั้น แต่คือการเสริมพลังให้ชุมชนมีความรู้ ความสามารถ และบทบาทในการปกป้องสิทธิและสุขภาวะของตนเอง ซึ่งงานวิจัยแสดงให้เห็นแล้วว่า หากชุมชนได้รับการสนับสนุนอย่างเหมาะสม ทั้งด้านองค์ความรู้ เครื่องมือ และช่องทางในการสื่อสาร คนในชุมชนก็จะสามารถกลายเป็นนักเฝ้าระวังที่เข้มแข็ง และเป็นพลังสำคัญในการสะท้อนข้อเท็จจริงไปยังภาครัฐและสังคมได้อย่างน่าเชื่อถือ หากแต่ยังมีความท้าทายที่งานวิจัยต้องเชื่อมโยงให้ระบบเฝ้าระวังที่พัฒนาขึ้นสามารถดำเนินการโดยชุมชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว อย่างไรก็ตาม กรณีศึกษาทั้งโรงไฟฟ้าถ่านหินและเหมืองแร่ทองคำนับเป็นบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน การนำหลักฐานจากงานวิจัยไปสู่การกำหนดนโยบาย และการสร้างระบบการเฝ้าระวังที่ยั่งยืนและเป็นธรรมในระยะยาว ซึ่งนอกจากการสร้างองค์ความรู้แล้ว สวรส. ยังเน้นไปที่การขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนทุกคน
คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น
คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ สวรส เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ สวรส. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้