ข่าว/ความเคลื่อนไหว
ปัญหาการลาออกของแพทย์ในประเทศไทยยังเป็นปัญหามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มแพทย์ใช้ทุน (Intern) แม้ที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความพยายามแก้ปัญหามาโดยตลอดในอดีต ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดมาตรการให้นักศึกษาแพทย์ที่รับทุนจากรัฐบาล ให้ทำงานชดใช้ทุนในระบบราชการเป็นระยะเวลา 3 ปี การกำหนดหลักสูตรการเพิ่มพูนทักษะเพิ่มอีก 1 ปีหลังจบการศึกษาแพทยศาสตร์บัณฑิตในระดับปริญญาตรี เพื่อให้แพทย์คงอยู่ในระบบราชการยาวนานมากขึ้น การผลิตแพทย์ผ่านโครงการผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท หรือซีเพิร์ด (CPIRD: Collaborative Project to increase Production of Rural Doctor) การกำหนดอัตราการจ่ายค่าปรับหากแพทย์เลือกที่จะลาออกก่อนครบกำหนด เป็นจำนวน 400,000 บาท ซึ่งเป็นข้อกำหนดที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2516 และเคยมีการเสนอให้มีการปรับเพิ่มตามอัตราเงินเฟ้อ เป็นการจ่ายค่าปรับจำนวน 2.5 ล้านบาท หากลาออกโดยแพทย์ผู้ทำสัญญาจะต้องจ่ายค่าปรับให้กับหน่วยงานที่ให้ทุน ซึ่งขึ้นอยู่กับโครงการที่เข้ามาศึกษาในคณะแพทยศาสตร์ เช่น โครงการปกติ/กสพท. โครงการ CPIRD แต่การจ่ายค่าปรับตามข้อเสนอดังกล่าวยังไม่มีการประกาศใช้ อย่างไรก็ตาม มาตรการเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่ง และยังไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาได้มากนัก ทำให้สถานการณ์การลาออกของแพทย์ intern ยังคงไม่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากสถิติของกระทรวงสาธารณสุขในช่วง 10 ปี ตั้งแต่ปี 2556-2565 พบว่า แพทย์ใช้ทุนปีที่ 1 (แพทย์เพิ่มพูนทักษะ) ลาออกเฉลี่ยปีละ 23 คน แพทย์ใช้ทุนปีที่ 2 ลาออกเฉลี่ยปีละ 188 คน และแพทย์ใช้ทุนปีที่ 3 ลาออก เฉลี่ยปีละ 86 คน ทั้งนี้โดยรวมมีแพทย์ใช้ทุนลาออกเฉลี่ยปีละ 297 คน โดยกลุ่มที่มีอัตราการลาออกมากสุดคือปีที่ 2 เนื่องจากสามารถไปศึกษาต่อเฉพาะทางได้แล้ว
ปัญหาแพทย์ลาออกสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างในระบบสาธารณสุขไทยที่สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ได้เปิดเวทีนำเสนอผลวิจัยเรื่อง “การพัฒนาระบบบริหารจัดการแพทย์เพิ่มพูนทักษะในโรงพยาบาลสังกัดสำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข” พร้อมเปิดวงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากผู้ทรงคุณวุฒิ อาทิ นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการ สวรส. นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย สมาชิกวุฒิสภา ศ.พญ.วิบูลพรรณ ฐิตะดิลก คณะอนุกรรมการพิจารณาสนับสนุนการเพิ่มพูนทักษะ แพทยสภา นพ.ชิษณุพงศ์ ตั้งอดุลย์รัตน์ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริม สนับสนุนการผลิต พัฒนาแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข รศ.ดร.นพ.พลเทพ วิจิตรคุณากร คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ นพ.ณฐพล หาญชัยวัฒน์ อดีตแพทย์เพิ่มพูนทักษะ 2566 เพื่อสะท้อนปัญหา และร่วมหาแนวทางพัฒนาระบบบริหารจัดการแพทย์เพิ่มพูนทักษะฯ โดยมีงานวิจัยเป็นข้อมูลเชิงประจักษ์สำคัญในการสนับสนุนให้เกิดการแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง เมื่อวันที่ 17 ต.ค. 2568 ที่ผ่านมา ณ ห้องประชุมสุปัญญา สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข
ผศ.ดร.จรวยพร ศรีศศลักษณ์ รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข กล่าวว่า งานวิจัยเรื่องกำลังคนด้านสุขภาพเป็นประเด็นที่ สวรส. ให้ความสำคัญในการสร้างองค์ความรู้เพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาในระบบสุขภาพ โดยมีการศึกษาวิจัยทั้งในเรื่องของการผลิต การกระจาย และการธำรงไว้ของกำลังคนในระบบสุขภาพ ซึ่งสถานการณ์แพทย์ลาออก เป็นปมปัญหาที่ยังต้องการองค์ความรู้จากงานวิจัย ทั้งนี้ สวรส. เน้นการศึกษาวิจัยที่นำไปสู่ข้อเสนอเชิงนโยบาย เพื่อแก้ pain point และผลักดันไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ โดยงานวิจัยเรื่องการพัฒนาระบบบริหารจัดการแพทย์เพิ่มพูนทักษะในโรงพยาบาลสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข มีวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนสถานการณ์ วิเคราะห์รูปแบบการบริหารจัดการแพทย์เพิ่มพูนทักษะ จาก 12 โรงพยาบาล ซึ่งเป็นตัวแทนแต่ละเขตสุขภาพ ได้แก่ รพ.ลำปาง รพ.พุทธชินราช รพ.สวรรค์ประชารักษ์ รพ.พระนครศรีอยุธยา รพ.ราชบุรี รพ.พระปกเกล้า รพ.ร้อยเอ็ด รพ.บึงกาฬ รพ.ชัยภูมิ รพ.สรรพสิทธิประสงค์ รพ.ระนอง รพ.ปัตตานี และสังเคราะห์ข้อเสนอเชิงนโยบายระบบบริหารจัดการแพทย์เพิ่มพูนทักษะ ซึ่ง สวรส. พยายามจะพัฒนาให้เกิดเป็นโมเดลการแก้ปัญหาที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการลดอัตราการลาออกของแพทย์ Intern และสามารถธำรงแพทย์ไว้ในระบบเพื่อดูแลสุขภาพของประชาชนได้อย่างยั่งยืน
ผศ.นพ.วิทวัส สุรวัฒนสกุล คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หัวหน้าโครงการวิจัยฯ กล่าวว่า งานวิจัยได้ศึกษาข้อมูลแพทย์เพิ่มพูนทักษะจากแพทยสภา และสำนักส่งเสริม สนับสนุนการผลิต พัฒนาแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ (สพพ.) รวมทั้งข้อมูลจากการสัมภาษณ์แพทย์เพิ่มพูนทักษะ และบุคลากรในโรงพยาบาล เช่น ผู้อำนวยการโรงพยาบาล ประธานองค์กรแพทย์ แพทย์ที่ดูแล Intern ฯลฯ พบว่า แรงจูงใจและความต้องการของแพทย์เพิ่มพูนทักษะ อาทิ อยากทำงานใกล้ภูมิลำเนา ได้สวัสดิการให้กับครอบครัว มีรายได้ที่เหมาะสมและมี work-life balance ได้รับการพัฒนาทักษะทางคลินิก มีเส้นทางอาชีพที่เหมาะสมกับบริบทชีวิต ได้ใบรับรองการเพิ่มพูนทักษะเพื่อไปศึกษาต่อเฉพาะทาง ซึ่งแพทย์ส่วนใหญ่ไม่ได้มีเป้าหมายที่จะทำงานในโรงพยาบาลชุมชนระยะยาว โดยแพทย์เพิ่มพูนทักษะมีทางเลือกในการทำงานมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีโอกาสศึกษาต่อเฉพาะทางหรือรายได้ที่ดีกว่า ทั้งนี้ปัจจัยที่ส่งผลต่อการคงอยู่ของแพทย์ในระบบ ได้แก่ การจัดการที่ดี เช่น มีศูนย์แพทยศาสตร์ศึกษาชั้นคลินิก มีระบบพี่เลี้ยง มีองค์กรแพทย์ที่เข้มแข็ง มีการเตรียมความพร้อม เช่น มีการปฐมนิเทศ แนะนำการปฏิบัติงาน การฝึกหัตถการ และชี้แจงสวัสดิการอย่างชัดเจน การบริหารจัดการภาระงานอย่างเหมาะสม ช่วยลดความเครียด และเพิ่มความพึงพอใจในการทำงาน โครงการ CPIRD ช่วยให้แพทย์อยู่ในระบบได้ระดับหนึ่ง โดยเฉพาะพื้นที่ขาดแคลน ด้านปัญหาเชิงโครงสร้างที่พบ เช่น การชดใช้ทุน จำนวน 4 แสนบาท ไม่สอดคล้องกับบริบทปัจจุบัน การขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ทุกวิชาชีพ การเพิ่มรายได้เพื่อเป็นแรงจูงใจ การขาดกลไกติดตามที่มีประสิทธิภาพ ข้อจำกัดในการติดต่อแพทย์เวรในเวลานอกราชการ การมีแนวทางปฏิบัติที่แตกต่างกัน สำหรับปัจจัยสำคัญที่ทำให้แพทย์ลาออก ได้แก่ ความต้องการใกล้ชิดครอบครัวหรือวางแผนเส้นทางอาชีพอื่น ความเครียดจากภาระงาน ความรู้สึกขาดการดูแล และขาดโอกาสในการพัฒนา
งานวิจัยนี้มี 6 ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ได้แก่ 1) ควรปรับปรุงจำนวนโควต้าในแต่ละ รพ. และการเลือกพื้นที่ปฏิบัติงานของแพทย์เพิ่มพูนทักษะให้มีจำนวนที่เหมาะสมกับพื้นที่และภาระงาน 2) ควรพัฒนาระบบติดตามข้อมูลแบบเรียลไทม์ โดยอาจจัดทำระบบแพลตฟอร์มกลางเพื่อให้สามารถติดตามสถานะการดำเนินงาน และมีช่องทางการสื่อสารระหว่างหมอ Intern กับผู้บริหารโรงพยาบาล 3) ควรมีการปฏิรูประบบการผลิตแพทย์ระดับปริญญาตรี โดยควรให้แพทย์มีความรู้ความเข้าใจในระบบสุขภาพ และมีทักษะในการปฏิบัติงานได้จริง 4) ควรพัฒนาระบบการบริหารจัดการของใน รพ. และระหว่าง รพ. โดยควรมีมาตรฐานกลางในการปฏิบัติ เพื่อลดภาระงานที่ไม่จำเป็น เช่น การจัดทำแนวทางการ refer ของเขตสุขภาพ ฯลฯ 5) ควรสร้างระบบสนับสนุนแพทย์เพิ่มพูนทักษะ ทั้งด้านความรู้ เวชปฏิบัติ และระบบดูแลสุขภาพจิต 6) ควรวางแผนกำลังคนด้านสาธารณสุขอย่างบูรณาการ โดยการจัดทำแผนกลยุทธ์การจัดการกำลังคนสหวิชาชีพในระยะยาว
นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย สมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่า ปัญหาหนึ่งที่สำคัญของการบริหารจัดการแพทย์คือการกระจายตัวไม่เหมาะสม และขาดแคลนแพทย์ในระดับปฐมภูมิ ซึ่งปัจจุบันมีปัจจัยเกี่ยวข้องหลากหลายที่ต้องนำมาพิจารณาทั้งบริบทแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ความคิดของแพทย์รุ่นใหม่ สิทธิ คุณภาพชีวิต ฯลฯ ดังนั้นในบทบาทของสมาชิกวุฒิสภาจึงได้จัดทำร่างกฎหมาย พ.ร.บ.คุ้มครองวิชาชีพ เพื่อคุ้มครองการทำงาน โดยเฉพาะชั่วโมงการทำงาน เช่น แพทย์ Intern ไม่ควรทำงานเกิน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ความปลอดภัยในการทำงาน ฯลฯ เพื่อให้แพทย์ได้รับการคุ้มครองที่เหมาะสม และสามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น หรืออีกแนวทางที่อาจช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับแพทย์ Intern เช่น โมเดลการจัดแพทย์เวรร่วมกันในพื้นที่ที่อยู่ใกล้เคียง การส่งแพทย์ไปศึกษาต่อควรดูจากความต้องการที่แท้จริงของพื้นที่ การกำหนดโซนในการจับฉลากเลือกพื้นที่ปฏิบัติงานของแพทย์ โดยให้แพทย์จับฉลากเลือกพื้นที่ในภาคที่เป็นภูมิลำเนาของตนเอง ดีกว่ากระจายทั่วประเทศ แล้วมาจับร่วมกันวันเดียว ฯลฯ ทั้งนี้งานวิจัยสามารถมาสนับสนุนเพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงประจักษ์ว่า แต่ละโมเดลจะเกิดผลอย่างไร เพื่อการวางแผนการแก้ปัญหาได้ตรงจุดและลดผลกระทบด้านลบที่อาจเกิดขึ้น
นพ.ชิษณุพงศ์ ตั้งอดุลย์รัตน์ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริม สนับสนุนการผลิต พัฒนาแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เรื่องการบริหารจัดการแพทย์ Intern ควรมองภาพรวม ตั้งแต่กระบวนการคัดเลือก การเรียนการสอนจนออกไปปฏิบัติงาน ซึ่งจากข้อเสนอเชิงนโยบายจากงานวิจัย มองว่ามีความเป็นไปได้ และกระทรวงสาธารณสุขกำลังดำเนินการอยู่หลายเรื่อง เช่น การปรับปรุงจำนวนโควต้าในแต่ละ รพ. และการเลือกพื้นที่ปฏิบัติงานของแพทย์ ในปี 2569 จะมีการจัดสรรแบบใหม่ และมีการเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับพื้นที่และภาระงานมากขึ้น เรื่องแพลตฟอร์มหรือ Big Data กำลังมีการดำเนินการ ซึ่งเป็นการจัดทำที่ครอบคลุมตั้งแต่นักศึกษาแพทย์ไปจนถึง Intern การปฏิรูปการผลิตแพทย์ เป็นเรื่องยาก แต่กำลังจะพัฒนาไปสู่การสอนร่วมกันระหว่างโรงเรียนแพทย์ การพัฒนาระบบการบริหารจัดการ โดยกำลังพัฒนาแพลตฟอร์มกลางให้สามารถทำงานร่วมกันได้แบบ region (1 region 1 hospital) การวางแผนกำลังคนด้านสาธารณสุขอย่างบูรณาการ กำลังจัดทำแผนฯ 10 ปี ซึ่งจะทำให้ครอบคลุมทุกเรื่องที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้จะนำข้อมูลจากงานวิจัยของ สวรส.ไปใช้ประโยชน์ในเรื่องที่เกี่ยวข้อง และจัดทำเป็นนโยบายเพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาที่ตรงจุดมากที่สุด และการมาร่วมมือกันแก้ปัญหาในครั้งนี้ มีทั้งภาคประชาชน ภาควิชาการ และภาคการเมือง ซึ่งถือเป็นการใช้แนวคิดสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขาอย่างชัดเจน จึงเชื่อว่าเราจะขับเคลื่อนการแก้ปัญหาไปได้อย่างแน่นอน
ศ.คลินิกเกียรติคุณ พญ.วิบูลพรรณ ฐิตะดิลก คณะอนุกรรมการพิจารณาสนับสนุนการเพิ่มพูนทักษะ แพทยสภา กล่าวว่า ส่วนหนึ่งที่คุณภาพชีวิตของแพทย์ค่อนข้างต่ำ เนื่องจากเงื่อนไขบางเรื่องอยู่ภายใต้คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ส่วนงานวิจัยที่จะมาช่วยในการแก้ปัญหา เสนอว่าควรนำปัจจัยด้านบวกมาพิจารณาด้วย และควรมีการศึกษาข้อมูลแบบเจาะลึกในแต่ละพื้นที่ที่มีความแตกต่างกัน เพื่อให้เห็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องที่แตกต่างกัน ส่วนข้อเสนอการแก้ปัญหา ผู้บริหารต้องเข้าใจและให้ความร่วมมือ โดยการแก้ปัญหาระยะสั้น อาทิ การดูแล รพ. ชายขอบ/ห่างไกลก่อน โดยให้ความช่วยเหลือเรื่องสวัสดิการ เปิดโอกาสให้บริหารจัดการเรื่องวันหยุดเอง มีระบบให้คำปรึกษาที่ดี หาวิธีจูงใจให้เลือกพื้นที่ชายขอบ ไม่สร้างปัญหาใหม่ เช่น ไม่ใช้วิธีบังคับจนทำให้เกิดความเครียดหรือลาออก ฯลฯ ระยะยาว สร้างแรงจูงใจโดยได้ทุนเรียนต่อเป็นลำดับแรก เปิดโอกาสให้เลือกเรียนในสาขาที่ชอบ ให้ทุนในจังหวัดบ้านเกิด ให้โอกาสเลือกเพิ่มพูนศักยภาพใน รพ. ขนาดใหญ่/ศูนย์แพทย์ ตลอดจนการใช้หลักการทำงานร่วมกับ service plan ของกระทรวงสาธารณสุข
นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข กล่าวว่า ปัญหาแพทย์ลาออกเป็นหนึ่งในปัญหากำลังคนด้านสุขภาพที่ยังเรื้อรังและไม่สามารถจัดการเชิงระบบได้ ซึ่งงานวิจัยมีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยทำให้เห็นข้อมูลเชิงประจักษ์ที่เป็นสาเหตุของปัญหา และสามารถนำทางไปสู่การแก้ปัญหาได้จริง ควบคู่กับการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพให้กับประชาชน และการมีมาตรการบางเรื่องที่ทำให้เกิดการกระตุ้นกับผู้เกี่ยวข้อง เช่น ผู้บริหาร รพ. เกิดการพัฒนาระบบการจัดการใน รพ. ที่สนับสนุนให้แพทย์สามารถปฏิบัติงานตามวิชาชีพได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้งานวิจัยอาจวิเคราะห์และจัดกลุ่มข้อเสนอเป็นข้อเสนอเชิงบริหารและข้อเสนอเชิงนโยบาย โดยประเด็นที่ไม่ยุ่งยาก สามารถจัดการได้ในเชิงบริหารให้นำมาเสนอก่อน ส่วนประเด็นที่ซับซ้อนที่เป็นเชิงนโยบาย เกี่ยวข้องกับหลายฝ่าย ก็ต้องใช้เวลาในการขับเคลื่อนต่อไป ซึ่ง สวรส. พร้อมที่จะสนับสนุนงานวิจัยที่จะช่วยตอบคำถามที่ยังเป็นช่องว่างของการแก้ปัญหา และนำไปใช้ประโยชน์ในการออกแบบระบบการบริหารจัดการแพทย์เพิ่มพูนทักษะให้เหมาะสมกับบริบทปัจจุบัน
คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น
คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ สวรส เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ สวรส. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้