โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นภาวะที่ร่างกายมีปัญหากับการใช้อินซูลิน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินไป โดยเกิดจากการที่ร่างกายดื้อต่ออินซูลินหรือไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เพียงพอ ซึ่งเป็นวิกฤติสุขภาพที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงไปทั่วโลก ทั้งนี้ปัจจุบันคนไทยป่วยด้วยโรคเบาหวาน 6.5 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และ 40% ไม่รู้ว่าตัวเองป่วย และประเทศไทยมีปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเป็นปัญหาสำคัญของประเทศ โดยในปี 2553 พบการเสียชีวิตจากโรคเบาหวานเฉลี่ยวันละ 19 รายหรือประมาณ 7,000 คนต่อปี นอกจากนี้ยังส่งผลให้เกิดความเสี่ยงโรคแทรกซ้อน เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง ซึ่งเพิ่มโอกาสเสียชีวิตก่อนวัยอันควรถึง 2-4 เท่าเมื่อเทียบกับคนทั่วไป ด้านข้อมูลจากรายงานสถิติสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข พบอุบัติการณ์โรคเบาหวานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 มีผู้ป่วยรายใหม่ เพิ่มขึ้น 3 แสนคนต่อปี ส่วนปี 2565 มีผู้ป่วยโรคเบาหวานสะสมจำนวน 3.3 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2564 มากถึง 1.5 แสนคน โดยในเขตสุขภาพที่ 4 ซึ่งประกอบด้วย 8 จังหวัด ได้แก่ นครนายก สระบุรี ลพบุรี สิงห์บุรี นนทบุรี พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง และปทุมธานี มีผู้ป่วยโรคเบาหวานสะสมจำนวน 331,687 ราย และอัตราป่วยโรคเบาหวาน ปี 2565, 2566, 2567 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.24, 7.51, 7.93 ตามลำดับ
จากข้อมูลและแนวโน้มของผู้ป่วยโรคเบาหวานในประเทศไทย สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) จึงร่วมกับทีมเขตสุขภาพที่ 4 โดยมีสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครนายกเป็นทีมวิจัยหลัก เพื่อศึกษา “ประสิทธิผลของเวชศาสตร์วิถีชีวิตเพื่อให้โรคสงบในกลุ่มผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ไม่ต้องการอินซูลิน โดยศึกษาในสถานการณ์จริง” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินประสิทธิผลของโปรแกรมเวชศาสตร์วิถีชีวิตในการทำให้โรคเบาหวานเข้าสู่ภาวะสงบ (DM Remission) เปรียบเทียบการรักษาแบบมาตรฐานในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ไม่ต้องใช้อินซูลินในระยะ 6 เดือน และเพื่อวิเคราะห์ต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการรักษาในผู้ป่วยเบาหวานที่ได้รับโปรแกรมเวซศาสตร์วิถีชีวิต เปรียบเทียบกับกลุ่มรักษาแบบมาตรฐาน โดยได้มีการนำเสนอผลการวิจัยเบื้องต้น เพื่อคืนข้อมูลให้กับผู้เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) นักเทคนิคการแพทย์ที่เกี่ยวข้อง ในเขตสุขภาพที่ 4 จำนวนกว่า 100 คน เมื่อวันที่ 10 ต.ค. 2568 ผ่านการประชุมออนไลน์
ผศ.ดร.จรวยพร ศรีศศลักษณ์ รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข กล่าวว่า สวรส. ให้ความสำคัญกับระเบิดเวลาสองลูกในระบบสุขภาพคือ โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) และผู้สูงอายุ โจทย์ใหญ่คือ เราจะทำอย่างไรที่จะลดผู้ป่วยไม่ให้เข้ามาในระบบบริการ หรือผู้ป่วยที่เป็นโรคเรื้อรังสามารถดูแลตนเองได้และมีภาวะโรคสงบ งานวิจัยเรื่องการศึกษาประสิทธิผลของเวชศาสตร์วิถีชีวิตเพื่อให้โรคสงบในกลุ่มผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ไม่ต้องการอินซูลิน โดยศึกษาในสถานการณ์จริง จึงเป็นงานวิจัยครั้งสำคัญที่เป็นการศึกษากลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่จำนวน 2 หมื่นกว่าคน เพื่อตอบสมมติฐานของการนำแนวคิดเวชศาสตร์วิถีชีวิต (Lifestyle Medicine: LM) มาใช้ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ป่วยโรคเบาหวานให้สามารถดูแลตนเองให้อยู่ในภาวะโรคสงบได้ โดยผลจากงานวิจัยจะเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ที่สำคัญในการออกแบบระบบบริการในการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานให้มีภาวะโรคสงบ และมากไปกว่านั้นคือการทำให้ภาวะโรคเบาหวานสงบสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างยั่งยืน รวมถึงส่งต่อข้อมูลงานวิจัยให้กับหน่วยงานผู้ซื้อบริการสุขภาพ 3 หน่วยงาน ทั้งสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานประกันสังคม และกรมบัญชีกลาง เพื่อการออกแบบการจ่ายเงินเพื่อซื้อบริการสุขภาพโดยใช้รูปแบบการจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลที่เน้นผลลัพธ์ที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพมากกว่าปริมาณบริการ (Value based payment) และเชื่อมโยงการจ่ายเงินกับการบรรลุเป้าหมายด้านคุณภาพ เช่น ลดอัตราการกลับมารักษาซ้ำ การจัดการโรคเรื้อรังได้ดีขึ้น หรือเพิ่มความพึงพอใจของผู้ป่วย ฯลฯ ทั้งนี้ข้อเสนอเชิงนโยบายจากงานวิจัยจะเน้นข้อเสนอที่สามารถนำไปปฏิบัติแล้วมีแนวโน้มจะทำให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานเกิดภาวะโรคสงบได้จริง และจะระบุให้ชัดเจนว่าหน่วยงานหรือวิชาชีพใดบ้างที่ควรมาช่วยกันสนับสนุนเรื่องนี้ รวมถึงระบบการจ่ายเงินของทั้ง 3 กองทุนควรเป็นอย่างไรจึงจะเหมาะสม โดยมุ่งเน้นคุณค่าของการให้บริการเป็นสำคัญ ซึ่งงานวิจัยดังกล่าวจะเป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ที่ช่วยในการออกแบบระบบบริการสุขภาพได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะศึกษาวิจัยต่อยอดโดยเก็บข้อมูลต่อเนื่องในลักษณะของการศึกษาแบบสังเกตในระยะยาว (cohort study) เพื่อหาคำตอบของการดูแลโรคเบาหวานให้มีภาวะสงบได้จริงอย่างยั่งยืน
นพ.ธนะวัฒน์ วงศ์ผัน นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครนายก หัวหน้าโครงการวิจัยฯ กล่าวว่า งานวิจัยได้นำแนวคิดเวชศาสตร์วิถีชีวิต 6 ด้าน ได้แก่ การควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย การจัดการความเครียด การนอนหลับที่เพียงพอ การหลีกเลี่ยงสารเสพติด และความสัมพันธ์ทางสังคม มาใช้ในการศึกษากลุ่มเป้าหมายที่เป็นโรคเบาหวาน โดยแบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 14,000 ราย และกลุ่มควบคุม 14,000 ราย ใน 8 จังหวัดของเขตสุขภาพที่ 4 และมีเกณฑ์คัดเข้าคือ ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่วินิจฉัยมาไม่เกิน 6 ปี มีค่า HbA1c น้อยกว่า 9% และ BMI มากกว่า 23 kg/m² ซึ่งผลการวิจัยเบื้องต้นพบว่า อัตราการผู้ป่วยที่สามารถเข้าสู่เบาหวานระยะสงบได้ 1,937 ราย ผู้ป่วยที่ลดยาได้ 2,613 ราย ผู้ป่วยที่ลดน้ำหนักได้ 2,118 ราย ด้านการติดตามการใช้ยา 1 ใน 5 ของผู้ป่วยสามารถเข้าสู่เบาหวานระยะสงบได้ในเวลา 6 เดือน โดยผู้ป่วยสามารถหยุดการใช้ยาได้ตั้งแต่ 3 เดือนแรก 16.9% และติดตามต่อ 6 เดือน มีผู้ป่วยที่สามารถหยุดยาได้ 19.6% ด้านข้อมูลเชิงวิเคราะห์ พบว่า ปัจจัยหนึ่งที่เป็นตัวกำหนดในการเกิด DM Remission ใน 3 เดือนคือ ถ้าระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ มีโอกาสสูงที่จะเข้าสู่ภาวะโรคสงบได้ ทั้งนี้ถ้าลดรอบเอวได้ ความดื้ออินซูลินก็ลดลงตาม
ด้านข้อมูลเชิงคุณภาพ ได้มีการศึกษาในผู้เกี่ยวข้อง 3 กลุ่ม 1) เจ้าหน้าที่สุขภาพ พบว่า มีความรู้และสามารถเป็นโค้ชในการแนะนำเรื่องการดูแลตนเองให้กับผู้ป่วย และสามารถนำความรู้มาประยุกต์ใช้กับตัวเองได้ด้วย 2) กลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) มีความรู้และความมั่นใจในการแนะนำผู้ป่วยมากขึ้น รู้เป้าหมายของการติดตาม อยากได้เครื่องมือหรืออุปกรณ์สนับสนุน เช่น สมุดคู่มือการให้คำแนะนำ 3) กลุ่มผู้ป่วย ความตระหนักและความตั้งใจของผู้ป่วยเป็นปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญ และการทำให้ผู้ป่วยรับรู้สถานะของค่าต่างๆ เช่น ระดับน้ำตาล ความดันโลหิต รอบเอว ฯลฯ ทำให้เกิดการตระหนักและกระตือรือร้นที่จะควบคุมโรค ครอบครัวและคนใกล้ชิดมีส่วนช่วยในการสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพ
ทั้งนี้ผลการวิจัยแสดงข้อมูลให้เห็นชัดเจนว่า โปรแกรม LM ไม่ใช่แค่เพียงการหยุดยา แต่เป็นการฟื้นคืนพลังชีวิตและสมดุลใจของผู้ป่วย ซึ่งปัจจัยแห่งความสำเร็จที่สำคัญคือ วินัยของผู้ป่วย การสนับสนุนจากครอบครัวและชุมชน และการเปลี่ยนบทบาทของบุคลากรสุขภาพจากผู้สั่งการเป็นโค้ชสุขภาพที่ใช้การสื่อสารโน้มน้าวและจูงใจ ส่วน อสม. ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมถ่ายทอดความรู้และแรงบันดาลใจจากทีมสุขภาพสู่ชุมชน ซึ่งพลังสามประสานจะเปลี่ยนผ่านจากการรักษาโรคสู่การสร้างสุขภาพอย่างยั่งยืน
ด้านข้อเสนอเชิงนโยบาย มีข้อเสนอให้กับ 3 ระดับ 1) ผู้กำหนดนโยบาย ควรออกแบบนโยบายพร้อมแนวทางการประเมินผลตั้งแต่แรก ซึ่งจะทำให้สามารถติดตามผลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ควรให้ผลกระทบเชิงบวกกับผู้ให้บริการ และหน่วยบริการ เช่น การชื่นชม รางวัลให้กับสถานบริการที่สามารถดูแลผู้ป่วยให้โรคสงบได้ ควรออกแบบระบบประเมินให้สามารถทำงานควบคู่กับงานประจำ ควรเน้นกลุ่มผู้ป่วยที่มีระดับน้ำตาลไม่สูง ยังเข้ารับการรักษาไม่นาน เนื่องจากมีความน่าจะเป็นที่จะรักษาได้ก่อน ส่งเสริมการใช้ LM ในระดับประเทศ ควรผลักดันให้มีการติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่องในรูปแบบ cohort study 2) ผู้ให้บริการ ควรให้บริการที่สนับสนุนผู้ป่วยมีความตระหนักต่อการควบคุมโรค เช่น การให้บริการการตรวจภาวะดื้ออินซูลิน การตรวจค่าน้ำตาลด้วยตนเอง ซึ่งการรู้ค่าน้ำตาลทำให้ผู้ป่วยตระหนักและเปลี่ยนการปฏิบัติตัว ควรสนับสนุนให้มีนักโภชนาการให้คำแนะนำเรื่องการกินอาหารที่เหมาะสม ส่งเสริมให้มี Life coach เพื่อดูแลผู้ป่วยแต่ละคน ส่งเสริมการมีช่องทางการสื่อสารแบบสองทาง เช่น กลุ่มไลน์ร่วมกับสหสาขาวิชาชีพ 3) ผู้ซื้อบริการ สปสช. ประกันสังคม กรมบัญชีกลาง ควรปรับรูปแบบการจ่ายเงินเป็นแบบมุ่งเน้นคุณค่า อาจพิจารณาเพิ่มการตรวจภาวะดื้ออินซูลิน ให้เป็นรายการตรวจพิเศษ ที่เบิกคืนได้แบบ Fee schedule