งานวิจัยมาใหม่แนะนำ
จากปัญหาโรคฟันผุในกลุ่มเด็กวัยเรียนยังคงมีความชุกสูง แนวคิดการพัฒนาระบบบริการสุขภาพแบบมุ่งเน้นคุณค่าโดยมุ่งเน้นที่ผลลัพธ์ (Value-based oral healthcare) จึงได้ถูกนำมาใช้เพื่อเป้าหมายในการพัฒนารูปแบบบริการให้มีคุณภาพ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนารูปแบบระบบบริการสุขภาพช่องปากระดับปฐมภูมิ แบบมุ่งเน้นคุณค่าในกลุ่มเด็กวัยเรียน โดยใช้รูปแบบการวิจัยแบบมีส่วนร่วม (Action research) ในโรงเรียน 6 แห่ง ในอำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ในปีการศึกษา 2566 – 2567 โดยแบ่งโรงเรียนเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มปฏิบัติการและกลุ่มควบคุม โดยกลุ่มปฏิบัติการได้ร่วมพัฒนาระบบบริการสุขภาพแบบมุ่งเน้นคุณค่า นักเรียนชั้น ป.1 – 6 จำนวน 2,571 คน ได้รับการตรวจสุขภาพช่องปาก และนักเรียนชั้น ป. 4 – 6 จำนวน 1,207 คน ได้รับการสัมภาษณ์ตามแบบประเมินพฤติกรรมสุขภาพ ความรอบรู้และการรับรู้ด้านสุขภาพช่องปากของตนเอง และวิเคราะห์ต้นทุนค่าบริการทางตรงจากข้อมูลค่าแรง ค่าวัสดุและผลงานการจัดบริการฯ ในปีงบประมาณ 2566 ผลการศึกษาพบว่าในการจัดบริการสุขภาพช่องปากนักเรียนได้แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ นักเรียนกลุ่มที่ไม่มีฟันผุ กลุ่มที่ฟันผุน้อย (1 - 3 ซี่) และกลุ่มที่มีฟันผุมาก (4 ซี่ขึ้นไป) และมีความจำเป็นต้องได้รับการรักษาเร่งด่วนเพื่อจัดบริการทันตกรรมรักษาและป้องกันตามความจำเป็นในแต่ละกลุ่ม ผลการประเมินพบว่านักเรียนในกลุ่มปฏิบัติการบริการฯ มี Cavity free เพิ่มขึ้น เมื่อเปรียบเทียบก่อนการพัฒนาระบบบริการ และพบว่ากลุ่มปฏิบัติการฯ และกลุ่มเปรียบเทียบนักเรียนป.1 - 6 มี Cavity free ร้อยละ 90.6 และ 45.0 ตามลำดับ และพบว่าร้อยละการเพิ่มขึ้นของฟันผุ (ทั้งฟันแท้และฟันน้ำนม) ในกลุ่มปฏิบัติการแตกต่างกับกลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญ โดยการเพิ่มขึ้นของฟันผุในกลุ่มปฏิบัติการและกลุ่มเปรียบเทียบคิดเป็นร้อยละ 21.5 และ 26.5 ตามลำดับ ในส่วนพฤติกรรมพบว่านักเรียนในกลุ่มปฏิบัติการมีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากและโภชนาการที่ดีขึ้น ได้แก่ การมีจำนวนนักเรียนที่มีการแปรงฟันหลังอาหารกลางวัน การแปรงนาน 2 นาทีและการงดอาหารหลังแปรงฟัน 2 ชั่วโมงเพิ่มขึ้น และการบริโภคน้ำอัดลมและลูกอมลดลง นอกจากนี้นักเรียนกลุ่มปฏิบัติการพบมีคะแนนความรอบรู้ด้านสุขภาพช่องปากมากกว่าร้อยละ 80 เพิ่มขึ้น และการรับรู้ด้านสุขภาพช่องปาก ประเด็นการไม่อยากยิ้มเพราะลักษณะฟัน พบกลุ่มปฏิบัติการมีการปรับปรุงดีกว่ากลุ่มควบคุม 3 เท่า ในส่วนต้นทุนการจัดบริการพบว่ากลุ่มปฏิบัติการประหยัดต้นทุนมากกว่าโดยกลุ่มปฏิบัติการและกลุ่มควบคุมมีต้นทุนบริการต่อนักเรียน 1 คน ลดลง 42.56 บาท และ 15.86 บาท ตามลำดับ และกลุ่มปฏิบัติการมีต้นทุนประสิทธิผลที่ดีกว่าโดยกลุ่มปฏิบัติการสามารถประหยัดต้นทุนร้อยละ 9.6 เพื่อให้เกิด Cavity free เพิ่มร้อยละ 45.6 ในขณะที่กลุ่มควบคุมประหยัดต้นทุนได้ร้อยละ 3.5 และมี Cavity free เพิ่มเพียงร้อยละ 2.6 จากการศึกษาสรุปได้ว่ารูปแบบการจัดบริการการดูแลสุขภาพช่องปากนักเรียนแบบมุ่งเน้นคุณค่าที่พัฒนาขึ้นโดยการมีส่วนร่วมของทีมเครือข่ายบริการสุขภาพ และทีมโรงเรียนในอำเภอหางดง มีประสิทธิภาพสูง ส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ด้านสุขภาพช่องปากที่ดีสำหรับนักเรียน จึงควรพัฒนาและขยายพื้นที่ดำเนินการต่อไป
คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น
คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ สวรส เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ สวรส. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้