ชั้น 4 อาคารสุขภาพแห่งชาติ เลขที่ 88/39 ถ.ติวานนท์ 14 ต.ตลาดขวัญ อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
ขนาดตัวอักษร
-
+
ความตัดกันของสี
C
C
C
icon-lang-thภาษาไทย
ค้นหา
เมนู
จำนวนผู้อ่าน : 14 คน
สังเคราะห์ข้อเสนอเชิงนโยบายด้านรูปแบบและกำลังคนในการบูรณาการหลัก Soft Power กับการสื่อสารความเสี่ยง เพื่อป้องกันผลกระทบด้านสุขภาพจากปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่ชายแดน
นักวิจัย :
สมิทธิ์ บุญชุติมา , สุดคนึง ฤทธิ์ฤาชัย , พิทักษ์พงษ์ จันทร์แดง , ว่าน วิริยา ,
ปีพิมพ์ :
2568
สนับสนุนโดย :
สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข
วันที่เผยแพร่ :
18 กันยายน 2568

การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและทดสอบประสิทธิภาพของหลักสูตรฝึกอบรมบุคลากรสาธารณสุขในการสื่อสารความเสี่ยงฝุ่น PM2.5 ตามหลัก Soft Power ในพื้นที่ชายแดน และสังเคราะห์ข้อเสนอเชิงนโยบายด้านรูปแบบและกำลังคนในการบูรณาการหลัก Soft Power เข้ากับการสื่อสารความเสี่ยง โดยศึกษากรณีจังหวัดตากซึ่งประสบปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างรุนแรง มีค่าเฉลี่ย 31.70 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม) และเคยบันทึกค่าสูงสุดถึง 592 มคก./ลบ.ม เกินมาตรฐาน 5 เท่า การวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed-method Research) แบ่งเป็น 4 ขั้นตอน คือ 1) การศึกษาความรู้ ทักษะ และความต้องการ 2) การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมฯ 3) การศึกษาผลการใช้หลักสูตร และ 4) การพัฒนานวัตกรรมหลักสูตร มีกลุ่มตัวอย่างบุคลากรสาธารณสุขและประชาชนในระดับประเทศ ระดับจังหวัด ระดับอำเภอ และระดับตำบล รวมจำนวนกว่า 1,600 คน ผลการศึกษาขั้นตอนที่ 1 พบว่า บุคลากรสาธารณสุขต้องการพัฒนาทักษะการใช้สื่อดิจิทัลและสื่อสังคมออนไลน์ (ค่าเฉลี่ย 4.04 จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน) และเทคนิคการสื่อสารข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ให้เข้าใจง่าย (ค่าเฉลี่ย 3.82 จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน) ส่วนประชาชนมีความรู้พื้นฐานดี (ร้อยละ 85-ร้อยละ95) แต่การรู้ค่ามาตรฐาน PM2.5 ยังต่ำ (ร้อยละ 21.20-ร้อยละ 30.50) ผลการศึกษาขั้นตอนที่ 2 ได้หลักสูตรที่เน้นการใช้ Soft Power ได้แก่ การเล่าเรื่อง (Storytelling) สื่อสร้างสรรค์ การสร้างแรงบันดาลใจ การสร้างความผูกพัน และการใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย โดยเน้นการใช้ผู้นำชุมชนที่เป็นที่เคารพนับถือ การใช้ภาษาและวัฒนธรรมท้องถิ่น และการสร้างสื่อที่เหมาะสมกับบริบทชุมชน โดยตำบลแม่กาษาและตำบลแม่กุ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เป็นพื้นที่ทดลองการนำหลักสูตรไปใช้ ผลการศึกษาขั้นตอนที่ 3 พบว่า การใช้หลัก Soft Power ในการสื่อสารความเสี่ยงมีประสิทธิภาพ โดยสามารถเพิ่มจำนวนประชาชนที่มีความรู้ความเข้าใจจากร้อยละ 8.40 เป็นร้อยละ 27.00 (เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.60 และเพิ่มพฤติกรรมการป้องกันตนเองจากร้อยละ 33.10 เป็นร้อยละ 57.80 (เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.70) ภายในระยะเวลาเพียง 1 เดือนหลังการรณรงค์ ช่องทางการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพสูงสุดคือ เสียงตามสาย/หอกระจายข่าว (ร้อยละ 58.90) รองลงมาคือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (ร้อยละ 24.10) และโปสเตอร์/ป้ายไวนิล (ร้อยละ 16.10) ผลการศึกษาขั้นตอนที่ 4 นวัตกรรมหลักสูตรฝึกอบรมฯ ที่พัฒนาขึ้นได้รับการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญในระดับดีถึงดีมากในทุกมิติ โดยเฉพาะด้านความเป็นประโยชน์และความถูกต้อง การสังเคราะห์ข้อเสนอเชิงนโยบายด้านรูปแบบและกำลังคนในการบูรณาการหลัก Soft Power มุ่งเน้นการเสริมสร้างทักษะในการสื่อสารและการสร้างการมีส่วนร่วมในระดับพื้นที่ โดยใช้กลไกความร่วมมือระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ ด้วยนโยบายและกลยุทธ์การสื่อสารความเสี่ยงของกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานสาธารณสุขระดับจังหวัดและระดับอำเภอ การวิจัยนี้สรุปได้ว่า หลัก Soft Power มีศักยภาพสูงในการสื่อสารความเสี่ยงด้านสุขภาพ เนื่องจากสามารถสร้างการยอมรับ ปรับตัวตามบริบทท้องถิ่น และสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนจากภายใน ข้อเสนอแนะหลักคือ ควรขยายผลหลักสูตรนี้ไปยังพื้นที่อื่นที่มีปัญหาฝุ่น PM2.5 พัฒนาระบบสนับสนุนเพื่อความยั่งยืน และบูรณาการเข้าสู่ระบบการทำงานปกติของกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง


ลิงก์ต้นฉบับ : https://kb.hsri.or.th/dspace/handle/11228/6333

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เราใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา โปรดศึกษาเพิ่มเติมที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว
ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

จัดการความเป็นส่วนตัว
คุกกี้ที่มีความจำเป็น
(Strictly Necessary Cookies) เปิดใช้งานตลอด

คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ สวรส เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ สวรส. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้